กรุงเทพฯ 28 พ.ย. – KKP Research ปรับลดคาดกาณ์จีดีพีไทย ปี 2568 จะโตเพียง 2.6% จากเดิมคาด 3.0% ชะลอตัวลงต่อเนื่องเหลือโต 2.4% ในปี 2569 เหตุปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะอุตฯ ที่ถูกกระทบจากทั้งการแข่งขันที่มากขึ้นจากประเทศจีนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี รวมทั้งนโยบาย “ทรัมป์ “ เพิ่มเก็บภาษีนำเข้า
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุเศรษฐกิจไทยกำลังเจอปัจจัยเสี่ยงทั้งจากภายในและภายนอก หากไม่ปรับตัวมีความเสี่ยงเข้าสู่แนวโน้มขาลง โดยเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องแม้จะผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 โดยภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สามารถกลับมาเท่าศักยภาพเดิมที่ 3.0%-3.5% โดยไทยยังถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตได้ช้าที่สุดในภูมิภาค ASEAN ในช่วงหลังวิกฤติโควิด KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 2.6% ในปี 2568 และเติบโตได้ 2.4% ในปี 2569
สะท้อนแรงกดดันจากทั้งจากความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการชะลอตัวของสินเชื่อในภาคธนาคารในขณะที่หนี้เสียเร่งตัวขึ้น กำลังส่งผลให้การบริโภคชะลอตัวลง ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวได้ช้าลงจากฐานที่สูงขึ้น นอกจากนี้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย และ การเติบโตที่ช้าลงอย่างมีนัยยะสำคัญของเศรษฐกิจไทยไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบจากทั้งการแข่งขันที่มากขึ้นจากประเทศจีนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เมื่อพิจารณาการเติบโตราย sector จะพบว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีความแตกต่างกันมากในแต่ละภาค โดยภาคอุตสาหกรรมไทยหดตัวลงโดยเฉลี่ยในช่วงหลังโควิด-19 เป็นต้นมาซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยที่ใหญ่สุดในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มสินค้าที่หดตัวลงมากที่สุดในสาขาการผลิต คือ Hard Disk Drive, Furniture, Automobile หรือกล่าวได้ว่าภาคการผลิตไทยอยู่ในถดถอยแล้วในปัจจุบัน หลังจากหดตัวต่อเนื่องมามากว่า 1 ปี และยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาทดแทน
KKP Research ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/67 จะยังมีการเติบโตของ GDP อยู่ในระดับประมาณ 4% จากฐานการใช้จ่ายภาครัฐที่อยู่ในระดับต่ำและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจปี 2567 ทั้งปียังเติบโตได้ประมาณ 2.7% แต่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงเรื่อย ๆ ทั้งแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่หมดไปและอาจมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากนโยบายการค้าของสหรัฐ และตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงโตต่ำกว่าที่ประเมินว่าจากความเสี่ยงของนโยบายภาษีของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ และเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ฯ มากเป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชีย โดยมีการส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ คิดเป็นประมาณ 9% ของ GDP และเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ฯ อเมริกามูลค่ากว่าสี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นลำดับที่ 12 ของโลก และการเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่อาจเป็นผลมาจากสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจทำให้ไทยมีความเสี่ยงถูกมาตรการการค้าเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ดี นโยบายการค้าของสหรัฐยังมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก KKP ประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าขนาดใหญ่มีแนวโน้มใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองด้านการค้าระหว่างประเทศโดยสินค้าในกลุ่ม Rerouting ที่นำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกไป US มีแนวโน้มได้รับผลกระทบก่อน เช่น Solar Panel, Wifi Router ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากเพราะมูลค่าเพิ่มที่ถูกสร้างในประเทศอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจกระทบกับสินค้ากลุ่มอื่น ๆ เพิ่มเติม คือ 1) กลุ่มสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ หากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้า 10% กับทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งจะกระทบสินค้าในกลุ่มเครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ 2) กลุ่มสินค้าที่ไทยมีการคิดภาษีกับสหรัฐ ฯ สูงกว่าสหรัฐ ฯ คิดกับไทย โดยสหรัฐ ฯ มีแนวโน้มต่อรองให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าบางกลุ่มกับสหรัฐ ฯ ลงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม กระทบสินค้าในกลุ่มอาหารและภาคเกษตร ฯ 3) กลุ่มสินค้านำเข้าจากประเทศจีน ในสถานการณ์ที่สหรัฐ ฯ ขึ้นภาษีกับประเทศจีนที่ 60% มากกว่าประเทศอื่น ๆ จะเป็นความเสี่ยงที่อาจเห็นสินค้าจีนทะลักเข้าสู่ตลาด ASEAN และไทยเพิ่มเติม สินค้าที่มีการขาดดุลเยอะในช่วงที่ผ่านมา คือ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์และชิ้นส่วน
KKP Research ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 3 ครั้งในปีหน้ามาที่ระดับ 1.5% จากระดับปัจจุบันที่ 2.25% แม้ว่าแนวทางการสื่อสารของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) จะมีท่าทีค่อนข้างเข้มงวด โดยเน้นย้ำว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่ผ่านมาเป็นการปรับสมดุลใหม่ (recalibration) ไม่ใช่การเริ่มต้นของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอ และภาวะทางการเงินในปัจจุบันมีตึงตัว โดยเฉพาะจากสินเชื่อภาคธนาคารที่หดตัวจนส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศ.-511-สำนักข่าวไทย