16 ต.ค. – “สุริยะ” เตรียมผลักดันนโยบายเก็บค่ารถติดถนนสายหลักใน กทม. เช่น สุขุมวิท, เพชรบุรี, สีลม, รัชดาภิเษก คันละ 40-50 บาท เพื่อเติมเงินซื้อสัมปทานรถไฟฟ้า
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงนโยบายนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สั่งการถึงกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง ให้ศึกษาประเด็นการทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ว่า ต้องไปดูผลการศึกษาเดิม เสร็จแล้วก็ต้องไปคุยกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ว่า หากค่าโดยสารถูกลง จะทำให้มีคนมาใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยโมเดลที่มีการพูดคุยกัน ซึ่งอ้างอิงจากที่ สนข. เคยศึกษาไว้ร่วมกับสำนักงานองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย คือการเก็บจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่ง (Congestion charge) ซึ่งตอนนี้กำลังพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องอยู่ทั้งกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่คาดว่าจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมในถนนเส้นที่มีรถไฟฟ้าพาดผ่าน ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ตามผลการศึกษาเดิมที่ทำไว้ได้ศึกษาถนนทั้ง 6 เส้นเช่น ถนนสุขุมวิท เพชรบุรี สีลม รัชดาภิเษก มีปริมาณจราจรรวมกันประมาณ 700,000 คัน/วัน หากเก็บคันละ 40-50 บาท จะมีรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาทเพื่อซื้อคืนรถไฟฟ้าในทุกสัมปทานโดยเฉพาะสายสีเขียว โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินสูงถึง 2 แสนล้านบาท ในการซื้อคืนสัมปทาน อย่างไรก็ตาม ไม่เกินกลางปี 2568 จะได้ข้อสรุปในเรื่องนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงคมนาคมตนเองได้เคยพูดไปแล้วว่า อยากให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้าในราคา 20 บาท ได้ในเดือนกันยายน 2568 โดยตนเองได้ศึกษาแหล่งเงินที่จะมาชดเชยแล้ว ส่วนหนึ่งจะเป็นส่วนแบ่งที่ได้รับมาจากที่ รฟม.สายสายสีน้ำเงิน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที แต่หากกระบวนการศึกษาระหว่างคลังกับคมนาคมเสร็จก่อนก็จะใช้กระบวนการตรงนั้น
ส่วนจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการเงินและนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายสุริยะกล่าวว่า การตั้งกองทุนจะต้องมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จำเป็นจะต้องศึกษาให้ดีเพราะจะต้องมีแหล่งเงินที่จะต้องจัดเก็บรายได้ และนำเงินไปซื้อรถไฟฟ้าคืน แต่ทั้งนี้ก็ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ เพื่อไปดำเนินการซึ่งเรื่องนี้พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นด้วยซึ่ง เป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งเชื่อว่าพรรคร่วมจะไม่มีปัญหา เพราะถือว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงร่วมกัน.-513-สำนักข่าวไทย