กรุงเทพ 11 ต.ค. – “เผ่าภูมิ” เผยบอร์ด Financial Hub เคาะกรอบกฎหมายศูนย์กลางการเงิน ดึง 6 ธุรกิจเป้าหมายตั้งฐานในไทย ตั้งบอร์ดชุดเล็กยกร่างกฏหมายใหม่ เสนอภายใน 3 สัปดาห์ มั่นใจเสนอ ครม.ได้ในปี 2567
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) นัดแรก ว่า ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวทางการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงินของโลก 7 ประเด็นหลัก ดังนี้
1.ธุรกิจเป้าหมายเป็นธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจระบบการชำระเงินและบริการชำระเงิน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจประกันภัย และธุรกิจอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดฯ
2.ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ นิติบุคคล และสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ ที่ให้บริการแก่นิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (Non-residents) โดยห้ามชักชวนและให้บริการลูกค้าในประเทศไทย (No Solicitation)
3.ขอบเขตการดำเนินธุรกิจ เฟสแรกจะเป็น ธุรกิจที่ระดมทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในต่างประเทศ (Out-out) ส่วนเฟส 2 จะพิจารณาธุรกิจที่เป็นการระดมทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในประเทศไทย (Out-in) 4.ต้องใช้กรุงเทพและปริมณฑล เป็นสถานที่ตั้ง ในเฟสแรก
5.เงื่อนไขเกี่ยวกับสถานประกอบการ กำหนดให้มีเงื่อนไขขั้นต่ำ เช่น การจ้างงาน ระยะเวลาการประกอบธุรกิจ การมีที่ตั้งสำนักงาน เป็นต้น โดยให้อำนาจคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางทางการเงินในการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์
6.ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางทางการเงิน (One-stop Authority: OSA) ขึ้นใหม่ในรูปแบบหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ…
โดยหน้าที่ของ OSA คือการ กำหนดแนวทางการส่งเสริมธุรกิจเป้าหมาย และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งสิทธิประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การให้ Fast Track VISA การอนุมัติใบอนุญาตทำงานคนต่างด่าว (Work Permit) การจ้างงาน เป็นต้น และกำหนดเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง และประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาต และพิจารณาอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจเป้าหมาย เป็นต้น 7.สิทธิประโยชน์ (ข้อเสนอเบื้องต้น) ได้ให้เป็นอำนาจของ OSA ได้แก่ นิติบุคคลเข้าข่ายบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องปฏิบัติตาม GloBE Rules ของ Pillar 2 และกรณีนิติบุคคลอื่น สามารถกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำว่ากรณีนิติบุคคลที่เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ได้ โดยอาจกำหนดภาษีเป็นลำดับขั้นบันได (Tier) หรืออัตราคงที่ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจพิจารณาเป็นอัตราผ่อนปรน สำหรับภาษีหัก ณ ที่จ่าเงินปันผลและดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้โครงการฯ จ่ายให้กับบริษัทแม่ หรือบริษัทในเครือในต่างประเทศ อาจพิจารณาเป็นอัตราผ่อนปรน
“วันนี้ได้ตั้งคณะกรรมการยกร่างกฏหมายขึ้นมา ประกอบด้วยหลายภาคส่วน ซึ่งเป็นวงย่อยประกอบด้วยสำนักงานพระราชกฤษฏีกา แบงก์ชาติ หน่วยงานกำกับ 2 หน่วย ไปร่างกฏหมายใหม่ โดยได้ให้เวลา 3 สัปดาห์ เพื่อนำมาเสนอบอร์ดชุดใหญ่ และจะมีการกระทรวงการคลัง ก่อนเข้าสู่กระบวนการเปิดรับฟังความคิดเห็น และคาดว่าจะเสนอ ครม.ได้ภายในเดือนธันวาคมนี้” นายเผ่าภูมิ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย