ตลาดหลักทรัพย์ฯ 10 ต.ค.-“อัสสเดช” เชื่อ fundflow ยังไหลเข้าต่อเนื่อง หลังต่างชาติพลิกกลับซื้อหุ้นไทย ก.ย.67 สูงสุดรอบ 22 เดือน มอง ”วายุภักดิ์-ThaiESG“ หนุนตลาดหุ้นไทยไตรมาสสุดท้ายปีนี้
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกันยายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% โดยปรับเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 46,481 ล้านบาท โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) และ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า
โดยมีปัจจัยภายนอกจาก คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% เป็น 4.75% – 5.0% ถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี เพื่อทำให้ความเสี่ยงต่อเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้ออยู่ในจุดสมดุล โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงบวกแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะ recession นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าหาก FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศ Emerging Market เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้น ASEAN ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ตามลำดับ
ขณะที่ภายในประเทศ ยังมีปัจจัยบวก อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนกันยายนสูงสุดในรอบ 22 เดือน ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจาก Sensitivity Analysis พบว่าหุ้นของบริษัทในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบเชิงลบต่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นของบริษัทในกลุ่ม domestic play และกลุ่มที่มีสัดส่วนนำเข้าเพื่อผลิตสูงที่อาจได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นในเดือนที่ผ่านมา
ด้าน นายอัสสเดช คงศิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ว่ายังมีความหวังที่ดี จากปัจจัยในประเทศที่ยังเป็นบวก โดยตั้งแต่สัปดาห์หน้าจะเริ่มมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีสัญญาณในทิศทางที่ดี แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในขณะนี้คือปัจจัยภายนอกที่มีทั้งบวกและลบ อาทิ จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องประเมินว่ามีผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจของไทยกลุ่มใดบ้าง ขณะที่ยังต้องจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งหากนักลงทุนประเมินว่าเป็นความเสี่ยงก็อาจนำเงินไปพักไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้นจึงต้องดูข้อมูลให้ครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม ยังมีความคาดหวังว่า fund flow จะยังไหลเข้าต่อเนื่อง เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนที่จะทำให้ fund flow ไหลออก ขณะที่ความน่าสนใจตลาดทุนบ้านเรายังดี
สำหรับมาตรการกระตุ้นตลาดทุนของภาครัฐ อย่างกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง หน่วยลงทุนประเภท ก. มูลค่าระดมทุน 150,000 ล้านบาท มองว่า เพิ่งเป็นช่วงเริ่มต้นยังคงต้องรอดูจังหวะ เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีการทยอยลงทุนเพิ่มขึ้น ส่วนกองทุน ThaiESG เป็นช่วงโมเมนตัมกำลังมา เพราะใกล้ช่วงสิ้นปีแล้ว เชื่อว่าจะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เริ่มให้ข้อมูลกับนักลงทุนมากขึ้นเพื่อสร้างความน่าสนใจ
นายอัสสเดช ยังกล่าวถึงกิจกรรมตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนรุ่นใหม่ โดยกิจกรรมที่ จ.เชียงใหม่ มีนักลงทุนเปิดบัญชีมากกว่า 900 บัญชี ขณะที่การจัดกิจกรรมที่ จ. ขอนแก่น มีนักลงทุนเปิดบัญชีมากกว่า 1000 บัญชี อายุอยู่ในช่วง 20 ต้นๆ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ต่อเนื่อง โดยภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงเดือนกันยายน มีการเปิดบัญชีใหม่แล้ว 2-3 แสนบัญชี.-516.-สำนักข่าวไทย