กรุงเทพฯ 8 ต.ค. – บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เดินหน้า SAF เร่งขอใบรับการรับรองมาตรฐาน มั่นใจเริ่มจำหน่าย SAF ได้ในไตรมาสแรกของปี 2568
นายทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในเวที งาน “Thai Aviation Sustainability Day” วานนี้ (7 ต.ค.) ว่า OR ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ในประเทศไทย ยังอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อขอรับการรับรองมาตรฐาน Sustainability Certification จาก ISCC (International Sustainability and Carbon Certification) ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ซึ่งจะทำให้สามารถเริ่มจำหน่าย SAF ได้ในไตรมาสแรกของปี 2568
“OR มีความมั่นใจในความสามารถที่จะให้บริการด้านการจำหน่าย การจัดส่ง และรองรับเทคโนโลยีเชื้อเพลิงอากาศยาน โดย OR และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ร่วมพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนสำหรับการผสม SAF โดยนำกระบวนการ Co – Processing ของ GC มาใช้ในอุตสาหกรรมการบินเป็นครั้งแรก เพื่อรองรับนโยบายการบังคับใช้ SAF ของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งของ OR ที่ครอบคลุมการจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วประเทศ OR จึงมั่นใจในการจัดส่ง SAF ไปยังทุกภูมิภาคของประเทศไทย” นายทรงพล กล่าว
ปัจจุบัน OR มีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจน้ำมันอากาศยานของไทยด้วยส่วนแบ่งตลาด 54% ที่พร้อมเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นผู้นำ SAF ด้วยประสบการณ์กว่า 49 ปีในวงการการบินของประเทศไทย OR ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยคลังน้ำมันอากาศยาน 7 แห่ง และสถานีเติมน้ำมันอากาศยานกว่า 12 แห่งทั่วประเทศ โดยทั้งหมดดำเนินงานภายใต้มาตรฐาน JIG Standard (Joint Inspection Group Standard) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ทั้งนี้ การใช้ SAF ยังเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้สายการบินสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคการบินระหว่างประเทศตามข้อบังคับของ ICAO ในอนาคต และสอดคล้องกับนโยบายการเป็น Energy Solution Provider ของ OR ตลอดจนสอดคล้องกับแนวทาง OR SDG ในด้าน “G” หรือ “GREEN” ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมตลอดทั้งการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด สร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ.2608 รวมทั้งสร้างความยั่งยืนทางพลังงาน และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยอีกด้วย. -511- สำนักข่าวไทย