กรุงเทพฯ 30 ก.ย. – อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุภาษีคาร์บอนซึ่งจะเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง ในระยะแรกจะไม่กระทบกับประชาชน โดยเป็นการแปลงจากภาษีสรรพสามิตที่เก็บอยู่เดิม แต่ในอนาคตทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ปี 2050 สำหรับผลงานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต 11 เดือน เก็บได้ 482,026 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 10.7% ส่วนการจับของหนีภาษี 31,067 คดี สูงกว่าปีก่อน 27.4%
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนทั่วโลก กรมสรรพสามิตตระหนักและให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้เดินหน้านโยบายและมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกมิติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ด้านสิ่งแวดล้อม กรมสรรพสามิตมีมาตรการภาษีคาร์บอน หรือ Carbon Tax เป็นกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับ ที่สร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการปล่อยคาร์บอนให้กับผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าออกไปยังประเทศปลายทางที่เสียภาษีในส่วนนี้ สามารถนำไปเจรจาลดหย่อนค่าธรรมเนียม Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM ได้ ในระยะแรกจะมีการปรับใช้ภาษีคาร์บอนโดยใช้หลักการแปลงภาษีสรรพสามิตที่เดิมมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน โดยไม่เป็นการสร้างภาระแก่ประชาชน
ขณะที่มาตรการรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 และ EV 3.5 ที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการ EV 3.0 และมาตรการ EV 3.5 รวม 32 ราย ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2566 สูงกว่าปีก่อนถึง 685% และทำให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยกว่า 80,000 ล้านบาท มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมถึงเป็นการสร้างองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
ด้านสังคม ได้ดำเนินมาตรการการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต ไวน์ สุราแช่ และสถานบริการ โดยปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากเดิม 10% เป็น 0% และการปรับลดภาษีสถานบันเทิง จาก 10% เป็น 5% เพื่อลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ และสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ นอกจากการปรับลดอัตราภาษีแล้ว กรมได้ดำเนินโครงการ 1 ชุมชน 1 สรรพสามิต แชมเปี้ยน เพื่อเป็นการส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน โดยโครงการนี้ถือเป็นต้นแบบของความร่วมมือภาครัฐและเอกชนที่เป็นรูปธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตั้งแต่ระดับชุมชน เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนและผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งทุน แหล่งความรู้ ด้านการตลาด พลังงานสิ่งแวดล้อม คุณภาพสินค้า และการผลิต รวมถึงส่งเสริมและให้ความสำคัญในด้าน ESG เพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และลดการใช้พลังงานเพื่อต้นทุนลดลง สำหรับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับกรมสรรพสามิตต่างก็มีการเติบโตและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ยอดการจัดเก็บรายได้ภาษีสินค้าสุราแช่ชุมชนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 39 ล้านบาทหรือคิดเป็น 16.6%
กรมสรรพสามิตออกมาตรการลดภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อลดค่าครองชีพและต้นทุนให้กับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ดี ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต 11 เดือน (ตุลาคม 2566 – สิงหาคม 2567) จัดเก็บได้จำนวน 482,026 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 10.7% และสูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงการคลัง 1.06% ซึ่งเป็นเป้าที่ได้มีการปรับผลกระทบจากมาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยผู้ประกอบการและประชาชน อาทิ มาตรการการลดภาษีน้ำมัน ภาษีรถ EV เป็นต้น
นายเอกนิติ กล่าวว่า กรมสรรพสามิตยกระดับการปฏิบัติงานเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเปิดศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ กองทัพบก ศูนย์รักษาความปลอดภัยของชาติทางทะเล (ศร.ชล.) สำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง กรมการปกครอง ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น ส่งผลให้ผลการปราบปรามสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 27.4%
กรมสรรพสามิตยังมีมาตรการด้านธรรมาภิบาล โดยได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการตรวจสอบว่า เป็นสินค้าที่ถูกกฎหมายผ่านการตรวจวิเคราะห์จากสรรพสามิตหรือไม่ โดยประชาชนสามารถตรวจสอบได้จากการสแกนแสตมป์บนผลิตภัณฑ์บุหรี่และสุรา ทั้งนี้นอกจากเป็นการสร้างความชอบธรรมต่อผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริตแล้ว ยังเป็นการดูแลความปลอดภัยในด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนอีกด้วย ตลอดจนยกระดับการทำงานอย่างต่อเนื่องด้วยการรับฟังผู้ประกอบการ นำองค์ความรู้ทักษะสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Agile, Design Thinking, Digital Transformation มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมบุคลากรให้มีความคล่องตัวในการทำงาน พร้อมทั้งส่งเสริมการให้บริการแบบไร้รอยต่อ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
ล่าสุดได้พัฒนาเว็บไซต์ใหม่โดยเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคลากรภายในของกรม เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติ พร้อมทั้งเปิดตัวแชตบอต “น้องสมิตต์ (Smitt) ” ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Generative AI เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการให้ข้อมูลภาษีสรรพสามิตเบื้องต้นแก่ผู้ประกอบการและประชาชน
จากการยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการด้วยการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆรวมถึงการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ ส่งผลให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรมได้รับรางวัลสำคัญมากมายทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ อาทิ รางวัล ASOCIO Awards 2022 รางวัลเกียรติยศเลิศรัฐ และอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 17 รางวัล
กรมสรรพสามิตปักหมุดและขับเคลื่อนทั้งองค์กรให้เดินหน้าสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ Net Zero ในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศไทย 15 ปีซึ่งกรมต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50 % ในปี 2030 ตามแผนดังนี้
• ภาคการใช้น้ำมัน เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปไปใช้รถ EV เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 19.5%
• ภาคสารทำความเย็น เปลี่ยนไปใช้สารทำความเย็นชนิด R32 เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 12.20%
• ภาคการใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปลี่ยนเป็นใช้พลังงานทดแทน หรือ Solar Roof เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 62.40% เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน จากการใช้ หลอดไฟอัจฉริยะ หรือระบบควบคุมแสงในอาคารที่ปรับแสงได้อัตโนมัติ เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 1.60% และการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ PC เป็น Laptop เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 3.60%
• ภาคของเสีย ด้วยการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 0.40% รวมถึงเปลี่ยนไปใช้การดำเนินงานที่ไม่มีเอกสาร หรือไม่ใช้กระดาษ เพื่อลดปริมาณก๊าซลง 0.30%
• ภาคการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการส่งเสริมลูกค้าและภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าสู่ Green Supply Chain อาทิ ผู้ประกอบการโครงการสุราชุมชน 1 ชุมชน 1 สรรพสามิต แชมเปี้ยน
กรมสรรพสามิตมุ่งมั่นที่จะให้ยกระดับเป็นกรม ESG ก้าวสู่ Net Zero ในปี 2050 ตามยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้น สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน. -512 – สำนักข่าวไทย