กรุงเทพฯ 26 ก.ย.- “ธนวรรธน์” ห่วงบาทแข็ง ฉุดความสามารถแข่งขันข้าวไทย-ส่งออกชะลอตัว คาดส่งออกปีนี้ขยายตัว 2-2.5%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าเร็ว จาก 36 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นกว่า 10% เป็นอุปสรรคต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นสำคัญ เช่น ข้าวไทย ที่ต้องแข่งขันกับเวียดนาม ปกติข้าวเวียดนามจะมีราคาต่ำกว่าข้าวไทยประมาณ 50 บาทต่อตัน และตอนนี้เงินดองเวียดนาม แข็งค่าเพียง 3% แต่บาทแข็ง 10-11% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยจะมีอุปสรรคใหญ่มาก ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด
ปัจจุบันไทยกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 ของโลก จากเดิมเคยเป็นอันดับ 1 เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันอาจต่ำกว่าอินเดียและเวียดนาม ทำให้ข้าวซึ่งเป็นผลผลิตที่น่าจะดีในปีนี้ อาจถูกระบายออกไปยังต่างประเทศลำบาก รวมถึงอาจถูกกดราคา ขณะที่ประเทศไทยมากกว่า 60 จังหวัด พึ่งพาข้าวเป็นสำคัญในการหารายได้จะยิ่งทำให้กำลังซื้อในประเทศแผ่วลง
ภาคเอกชนจึงมีความกังวลว่าบาทแข็งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดน้อยถอยลง และอาจจะทำให้ส่งออกชะลอตัวลง และอาจต้องดึงราคาสินค้าเกษตรในประเทศลง เพื่อจะตั้งราคาแข่งกับนานาชาติ หากค่าบาทแข็งเร็วและมากไปกว่านี้ จึงอยากให้ทางการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ดูแลค่าเงินบาทอย่าให้แข็งมากไปกว่านี้ โดยมองว่า จุดที่จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยแข่งกับนานาชาติได้ คือบาทควรจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังมองว่าการส่งออกปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 2-2.5% เพราะออเดอร์ที่มีอยู่แล้ว แต่ต้องส่งออกด้วยราคาที่เป็นมูลค่าดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้วจะทำให้เงินสะพัดหรือเงินหมุนเวียนในรูปเงินบาทน้อยลง
ส่วนประเด็นที่มีการพูดถึงเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ว่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้น นายธนวรรธน์ มองว่า การลดดอกเบี้ยอาจจะเป็นตัวที่ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น การขอสินเชื่อคล่องตัวขึ้น ลดปริมาณการเกิดหนี้เสียลงได้ และลดต้นทุนของเอกชน อย่างไรก็ตาม เชื่อในการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ( กนง.).-516.-สำนักข่าวไทย