กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – เปิดมุมมอง “ทรีนีตี้” หลังเฟดลดดอกเบี้ย 0.50% หนุนสภาพคล่องตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 4 คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2.5% แนะโฟกัสกลุ่มหุ้น Domestic play กลุ่มสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมถือครองทองคำและพันธบัตรต่อ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศลดอกเบี้ย 0.50% ล่าสุด ว่าจะส่งผลต่อสินทรัพย์โลกใน 10 ประเด็นหลักดังนี้
1.ฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯนั้น ประเมินว่าจะเป็นทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฯ (Nasdaq) ที่เริ่มกลับมาปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น( Outperform) อีกครั้ง เนื่องจากมักเป็นกลุ่มที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนั้นยังอาจรวมถึงหุ้นขนาดกลางขนาดเล็ก (Russell 2000) ที่จะได้ประโยชน์ส่วนเพิ่มอย่างรวดเร็วจากการปรับตัวลงของดอกเบี้ยในตลาด
- ตลาดหุ้นไทย แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มวัฎจักรเศรษบกิจ Global cyclicals ไปอีกระยะ เช่นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี แม้ Valuation ส่วนใหญ่ของหุ้นกลุ่มนี้จะยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ความกังวลด้านเศรษฐโลกชะลอตัวมีโอกาสที่จะกดดันราคาต่อไปได้ แนะนำโฟกัสการลงทุนไปที่กลุ่มขึ้นกับเศรษฐกิจในประเทศ( Domestic play) เช่น ค้าปลีก อสังหาฯ ไฟแนนซ์ ที่ยังคงมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อไป
- ประเมินสภาพคล่องของไทยที่คงค้างอยู่ในบัญชีเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ต้องการฝากเงินเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ( FCD) ขณะนี้กว่า 7.7 แสนล้านบาทจะเริ่มมีการทยอยไหลย้อนหลับเข้าสู่ประเทศมากขึ้น ซึ่งบางส่วนน่าจะมีการไหลเข้าสู่ระบบตลาดทุนในประเทศได้ ถือเป็นปัจจัยที่จะช่วยประคับประคองตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 4/67
- มองสภาพคล่องส่วนเกินที่เตรียมจะไหลเข้ามามากขึ้นในช่วงถัดไป เมื่อมาประกอบกับความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในระดับต่ำ และ Valuation ที่ยังคงไม่ไปไหน เชื่องช้า( Laggard )เช่น หุ้นขนาดใหญ่ จึงทำให้คาดว่ามีโอกาสเห็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก (sSET & MAI) กลับมา Outperform อีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้
- ประเมินทองคำเป็นสินทรัพย์ผู้ชนะที่สำคัญจากผลการประชุม Fed ล่าสุด เนื่องจากขาหนึ่งจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยที่มากกว่าคาด ส่วนอีกขาหนึ่งจะได้ประโยชน์จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอที่สูงขึ้น ดังนั้นหากราคาตกลงมาในช่วงสั้นมองเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับการเพิ่มน้ำหนัก
- มองแนวโน้ม Bond yield สหรัฐฯมีโอกาสไหลลงต่อ โดยเฉพาะรุ่นระยะสั้น ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่มีกำไรจากการถือครองพันธบัตรสหรัฐมาก่อนหน้านี้ แนะนำให้สามารถ Let profit run ต่อไปได้
- ส่วนในแง่ผลกระทบต่อค่าเงิน USD นั้น ถือว่าประเมินค่อนข้างยาก เนื่องจากขาหนึ่งอาจถูกกดดันจากปรากฏการณ์ USD carry trade ที่อาจจะดำเนินต่อไป แต่ในอีกขาหนึ่งนั้น อาจมีผู้ที่เป็นกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอโยกเงินเข้าสู่ Safe havens ซึ่งเงิน USD ถือเป็นหนึ่งในนั้น
- การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในระดับ 0.50% นี้ ยิ่งเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นที่ประเมินมาตลอดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท. )จะ สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในสมมุติฐานการคำนวณระดับเป้าหมาย SET Index ในกรณีดีสุดจะอยู่ที่ระดับ 1480 จุด
- มองแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยมีแนวโน้มปรับตัวลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯในช่วงถัดไป ดังนั้นสำหรับผู้ที่ถือครองตราสารหนี้ไทยอยู่ สามารถการปล่อยให้ราคาวิ่งไปเรื่อยๆ ตามแนวโน้มตลาด( Let profit run )ต่อไปได้เช่นกัน
- การปรับลงของ Bond yield ไทยที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปนั้น ยังส่งผลให้มาตรวัด Dividend yield gap ของตราสารที่มีคุณลักษณะคล้ายพันธบัตรเช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย แนะนำ Overweight ตราสารเหล่านี้ต่อไปด้วยเช่นกัน. -511- สำนักข่าวไทย