กรุงเทพฯ2 ก.ย.- บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น(BCP) ตั้งเป้าโต 15-20%ปี EBITDA ปี73 แตะแสนล้านบาท ลงทุน 1.2 แสนล้านบาท แบบ “สมดุลย์” ลงทุนหลักสู่ต้นน้ำ ควบคู่ลดคาร์บอน ระบุหากภาครัฐลดการถือหุ้นก็ยังสามารถโตได้ตามแผน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น(BCP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายภายในปี 73 รายได้จากการขายและการให้บริการจะเติบโตแตะ 1 ล้านล้านบาท และ EBITDA เติบโตแตะ 100,000 ล้านบาท หรือขยายตัวราว 15-20%ต่อปี ด้วยเงินลงทุนปี 68-73ราว 1.2 แสนล้านบาท สงทุนส่วนใหญ่หรือ 35%ในธุรกิจทรัพยากรฯ ,ธุรกิจการกลั่นฯและการค้าน้ำมัน 30 % ที่เหลือเป็นด้านอื่นๆ โดยเงินครึ่งหนึ่งมาจากการดำเนินธุรกิจอีกครึ่งมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ทำให้ในปี 73บริษัทจะมีพอร์ตธุรกิจ ทรัพยากรณรวม 53% โรงกลั่นฯและการค้าน้ำมัน 31% , ธุรกิจพลังงานสีเขียว10% ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจใหม่ ราว 10%
“การลงทุนดังกล่าวจะมีการเพิ่มการลงทุนด้านทรัพยากรฯ หรืออุตสาหกรรมต้นน้ำ สำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยใช้ความสำเร็จจากการลงทุนในนอร์เวย์มาขยายหาโอกาสในอาเซียน ทั้งซื้อและควบรวมกิจการ ตั้งเป้าปี 73มีกำลังผลิต 1แสนบาณ์เรล/วันเทียบเท่าน้ำมัน ถือว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความสมดุลย์ทั้งมั่นคงพลังงานและลดการปลดปล่อยคาร์บอนฯไปพร้อมๆกันทั้งหมด”นายชัยวัฒน์กล่าว
ส่วนกรณีที่สำนักงานประกันสังคมจะมีการขายหุ้นบางจากฯเป็นบางส่วนหรือหากกระทรวงคลังจะลดการถือหุ้นในอนาคตนั้น นายชัยวัฒน์กล่าวว่า บางจากฯไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ที่ผ่านมาดำเนินการตามแนวทาง บริษัทมหาชนที่มีการตัดสินใจการทำงานอย่างรวดเร็ว ตอบแทนรอบด้านให้ดีที่สุด หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น การทำงานก็จะยังเป็นไปตามแผนงานที่ประกาศไว้
สำหรับการดำเนินการ จนถึงปี 73 จะมีการขยายงานใน 5 กลุ่มธุรกิจหลักประกอบไปด้วย
1.กลุ่มโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน (โรงกลั่นพระโขนงและโรงกลั่นศรีราชา) คาดจะมีอัตราการใช้กำลังการกลั่นรวมเพิ่มเป็น 280,000 บาร์เรลต่อวันในปี 68 จากกำลังการกลั่นติดตั้งรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มค่าการกลั่น (GRM) นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด รวมถึงการขยายการผลิตผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่มีมูลค่าสูง เช่น Unconverted Oil และขี้ผึ้ง
นอกจากนี้ ในปี 68 จะเป็นปีแห่งการบุกเบิกความเป็นผู้นำในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ด้วยกำลังการผลิต 7,000 บาร์เรลต่อวัน BCP มีความพร้อมจัดหาวัตถุดิบจากเครือข่ายพันธมิตรและการรับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วผ่านโครงการทอดไม่ทิ้งทั่วประเทศ
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า SAF เป็นผลิตภัณฑ์ที่มี margin สูงกว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานแบบดั้งเดิม และมีแนวโน้มความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต จะทำให้กลุ่ม BCP ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโรงกลั่นเฉพาะทางที่ยึดมั่นด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยวางเป้ารายได้ในปี 68 ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท
ด้านธุรกิจการตลาด บริษัทมีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันบางจากเพิ่มเป็น 2,400 แห่ง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 33% จากครึ่งปีแรกของปี 67 อยู่ที่ 28.8% โดยจะมุ่งเน้นที่ตลาดที่มีความต้องการสูง ด้านตลาดพาณิชยกรรม จะมุ่งขยายตลาดในภูมิภาค (กัมพูชา ลาว สหภาพเมียนมา และเวียดนาม) นอกจากนี้ยังมีแผนขยายร้าน Inthanin Coffee เพิ่มเป็น 2,400 แห่ง
ส่วนธุรกิจพลังงานสีเขียว โดย บมจ.บีซีพีจี (BCPG) ตั้งเป้าได้รับการคัดเลือกเป็นหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 และเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืนที่ถูกคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนี DJSI ด้วยกลยุทธ์เน้นการขยายการลงทุนในพลังงานสีเขียวในประเทศที่มีธุรกิจอยู่แล้วและการทำ capital recycling เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น พร้อมกับการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินและผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม
นอกจากนี้ บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) ผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพแบบครบวงจร กำลังมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์และขยายธุรกิจหลักไปสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูง BBGI ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ผลิต CDMO (Contract Development and Manufacturing Organization) รายแรกในอาเซียนในปี 68 โดยมีแผนที่จะผลิตมากกว่า 1 ล้านลิตรต่อปีภายในปี 71
ขณะที่ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) กลุ่ม BCP สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในธุรกิจ ด้วยการลงทุนใน OKEA ASA ในประเทศนอร์เวย์ตั้งแต่ปี 61 โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิต 50,000 บาร์เรลต่อวันภายในปี 73 ตลอดจนมีแผนขยายธุรกิจ E&P ไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลก อาทิ เอเชียแปซิฟิก เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ E&P ของกลุ่มบริษัทบางจากอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายรวมที่ 100,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในปี 73. -511 -สำนักข่าวไทย