fbpx

“สุริยะ-มนพร” เร่งยกระดับโครงข่ายคมนาคมบนเกาะสมุย

สุราษฎร์ธานี 24 ส.ค.- “สุริยะ-มนพร” ลงพื้นที่เกาะสมุย เร่งยกระดับโครงข่ายคมนาคม ลุยขยายถนนเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกการเดินทาง พร้อมดันท่าเทียบเรือ Cruise Terminal มูลค่า 1.2 หมื่นล้าน คาดเริ่มสร้างปี 72 เปิดให้บริการปี 75 หนุนสร้างผลประโยชน์เศรษฐกิจ กว่า 4.6 หมื่นล้าน หวังกระตุ้นการท่องเที่ยว เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง


นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันนี้ (24 สิงหาคม 2567) เกาะสมุยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของไทย และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้และส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยอย่างมาก ดังนั้น กระทรวงคมนาคม มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอีกหลายด้าน ทั้งทางอากาศ ทางถนน และทางน้ำ เพื่อรองรับการเติบโตของพื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สำหรับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงของกรมทางหลวง (ทล.) อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 สายทาง รวมระยะทาง 69.922 กิโลเมตร (กม.) ได้แก่ โครงการก่อสร้าง ทล.4142 ตอน บ้านใน – บ้านโฉ – ขนอม ระยะทาง 47.513 กม. โครงการก่อสร้าง ทล.4014 ตอน คลองเหลง – ขนอม ระยะทาง 17.530 กม. และโครงการก่อสร้าง ทล.4170 ตอน สระเกศ – หัวถนน (ขยายเพิ่มช่องจราจรเต็มเขตทาง) ระยะทาง 16.346 กม.


ทั้งนี้ การดำเนินการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวนั้น เพื่อพัฒนาเส้นทางให้มีความสะดวกปลอดภัย ในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญภายในเกาะสมุยไปยังท่าเรือเกาะแตน รองรับเส้นทางสะพานเชื่อมระหว่างเกาะสมุยกับบนฝั่งในอนาคต อีกทั้งยังเป็นเส้นทางเพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีเส้นทางจักรยานส่งเสริมการออกกำลังกาย ในสถานที่ท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้เร่งรัดการพัฒนาโครงการก่อสร้าง ทล.4170 ตอน สระเกศ – หัวถนนด้วย

นอกจากนั้นยังได้ลงพื้นที่ถนนสาย ทล.4169 สายทางรอบเกาะสมุย ติดตามงานป้องกันและอำนวยความปลอดภัย หลังก่อสร้างแล้วเสร็จถนนสายนี้ในช่วงหน้าฝนเกิดหินและดินสไลด์ ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้ทางไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัย ดังนั้น จากนโยบายของรัฐบาลจึงได้เร่งรัดโครงการก่อสร้าง ทล.4169 สายทางรอบเกาะสมุย ระยะทาง 50 กิโลเมตร ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จตลอดสาย และเปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว แต่ยังเหลืองานป้องกันและอำนวยความปลอดภัยที่ต้องดำเนินการต่อสำหรับพื้นที่จุดนี้ เนื่องจากในช่วงหน้าฝน มักเกิดเหตุหินและดินสไลด์กีดขวางเส้นทางสัญจร สั่งการให้ ทล. เร่งรัดดำเนินการสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างแนวป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ ทล. เข้าศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของการจราจรภายในเกาะสมุย เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ


ขณะเดียวกันให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดำเนินการเรื่องการปรับปรุงถนนทางเชื่อมต่อจากทิศตะวันออกมายังทิศตะวันตก โดยการนำผลการศึกษาเดิมนำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยล่าสุดจะให้ส่วนท้องถิ่นโอนย้ายการดูแลมาให้ ทช. ดำเนินการพัฒนาต่อไป

ด้านนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในส่วนของกรมเจ้าท่า (จท.) ได้ศึกษาและพัฒนาโครงการท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริเวณแหลมหินคม เกาะสมุย มูลค่าการลงทุนรวม 12,172 ล้านบาท โดยได้เร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผน เพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้เข้าจังหวัดและเข้าประเทศมากยิ่งขึ้น รวมถึงยกระดับการท่องเที่ยวเรือสำราญที่เข้ามาเทียบท่าเกาะสมุย ซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับจังหวัดสุราษฎร์ธานีและประเทศชาติอย่างมหาศาล ซึ่งจากการวิเคราะห์โครงการพบว่า พื้นที่บริเวณแหลมหินคม ตำบลตลิ่งงาม มีความเหมาะสมมากที่สุด ทั้งด้านวิศวกรรมที่มีกำบังคลื่นลมโดยธรรมชาติ อยู่ใกล้เขตน้ำลึก และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาท่าเรือ

ขณะที่ในด้านสิ่งแวดล้อม และสังคม จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึง ไม่มีพื้นที่อ่อนไหว และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ส่วนด้านเศรษฐศาสตร์ เป็นพื้นที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์และมีความพร้อมด้านสาธารณูปโภค ต้นทุนและค่าใช้จ่ายของโครงการตลอดระยะเวลา 37 ปี มีความคุ้มค่าในการลงทุนด้านเศรษฐกิจ โดยมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตลอดอายุโครงการประมาณ 46,000 ล้านบาท และมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์มากกว่า 15% ทั้งนี้ จท. ได้วิเคราะห์แล้วเห็นว่าการร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost มีความเหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ โดยมีเอกชนเป็นเจ้าของรายได้และเป็นผู้รับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติโครงการได้ในปี 2567 เริ่มก่อสร้างได้ในปี 2572 และเปิดให้บริการในปี 2575. 513 .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

นายกตรวจน้ำท่วมเชียงราย

นายกฯ บินเชียงราย ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม

“นายกฯ แพทองธาร” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม เตรียมมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.เชียงราย พร้อมตรวจเยี่ยมการลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือของกองทัพ

ชิงทองระนอง68บาท

รวบแล้วโจรชิงทอง 68 บาท กลางห้างดังระนอง

รวบแล้ว 2 คนร้ายชายหญิง จี้ชิงทอง 68 บาท ในห้างดังกลางเมืองระนอง ฝ่ายชายรับสารภาพ ชีวิตตกต่ำ ไม่มีรายได้ จึงชวนหลานสาววัย 16 ปี มาร่วมก่อเหตุชิงทอง

น้องชายรัวยิงพี่สาวตายกลางงานศพแม่ อ้างฉุนไม่ให้ร่วมจัดงานศพ

น้องชายชักปืนรัวยิงพี่สาวเสียชีวิตกลางงานศพแม่ ภายหลังน้องชายเข้ามอบตัวกับตำรวจ อ้างเหตุผลฆ่าเพราะโมโห รู้สึกว่าพี่สาวใจดำมากที่กีดกันไม่ให้ตนช่วยจัดงานศพแม่

บุกทลายโรงงานผลิตยาเถื่อน ย่านทุ่งครุ

เจ้าหน้าที่ อย. ร่วมสืบนครบาล บุกทลายโรงงานผลิตยาเถื่อน ย่านทุ่งครุ มีเบาะแสต้นตอการทะลักของยาเขียวเหลือง ตะลึงพบซากจิ้งจกตายในหม้อต้ม ขณะที่เจ้าของโรงงานยันประกอบอาชีพโดยสุจริต

ข่าวแนะนำ

ไทยเตรียมรับมือพายุลูกที่ 15 อีกระลอก

สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำป่าจากอิทธิพลพายุยางิเพิ่งผ่านพ้นไป มีคำเตือนว่าไทยต้องเตรียมรับมือพายุลูกที่ 15 อีสานตอนบน-เหนือตอนบน โดยจะมีฝนหนัก เตือนน้ำสาขาเอ่อท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำอีกระลอก

เสริมนวัตกรรมสูบน้ำ กู้เมืองหนองคาย

ท่อพญานาคซิ่ง นวัตกรรมสูบน้ำอันโด่งดังที่เคยไปช่วยภารกิจ 13 หมูป่า ติดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ล่าสุดเดินทางถึง จ.หนองคาย กำลังสวมบทฮีโร่อีกครั้ง เพื่อช่วยกู้ตัวเมืองหนองคาย หลังจมน้ำมา 4 วัน

น้ำท่วมเชียงราย เสียหายกว่า 100 ล้าน วอนรัฐช่วยฟื้นฟู

น้ำท่วม อ.เมืองเชียงราย สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง หลายคนสูญเสียทรัพย์สิน บางคนบ้านพังทั้งหลัง พื้นที่ทางการเกษตรถูกน้ำท่วมเสียหาย รวมทั้งโรงแรมหลายแห่งได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลต่อธุรกิจและการท่องเที่ยวเสียหายแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เรียกร้องภาครัฐช่วยเหลือฟื้นฟู

น้ำป่าทะลักท่วมพะเยา เสียหายหนักเป็นวงกว้าง

น้ำป่าที่ทะลักท่วมชุมชนหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ช่วงเช้ามืดวันนี้ (17 ก.ย.) แม้น้ำท่วมเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่สร้างความเสียหายอย่างหนักเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากเป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยหอพักนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้ไม่สามารถขนย้ายข้าวของได้ทัน