กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – ประธาน ส.อ.ท. ระบุผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ “เศรษฐา” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะทำให้เศรษฐกิจสะดุด เกิดช่วงเว้นวรรคทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างประเทศ ด้านนักวิเคราะห์ มองตลาดหุ้นไทยซึมต่อ หวัง ครม.ชุดใหม่ปรับนโยบายที่ไม่มีประสิทธิภาพ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวถึงผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ภาคเอกชนอยากให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี โดยไม่ต้องการให้การเมืองเกิดภาวะสะดุด ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาวเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ คำถามที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ใครจะมาเป็นผู้นำรัฐบาลคนต่อไป นโยบายต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ดังนั้นการลงทุนต้องเกิดการชะลอตัวเพื่อดูความชัดเจนทางการเมือง ไทยจะเสียโอกาสการแข่งขัน
ขณะนี้มีปัจจัยแวดล้อมภายนอกกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อ มีหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูง หากต้องเริ่มต้นกันใหม่ คงต้องใช้เวลาและกว่าจะถึงเป้าหมายก็ลำบาก การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แม้จะไม่ใช่เป็นการนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด แต่ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหยุดชะงัก เหมือนขับรถไปแล้วรถเสียต้องลงมาเข็นแต่ภาคเอกชนน้อมรับผลการตัดสิน ตามมิติของศาลรัฐธรรมนูญและยังคงพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่และดีที่สุด
นายเกรียงไกร กล่าวว่า แม้จะยังไม่มี ครม.ใหม่ แต่เงินงบประมาณที่กำลังจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ขอให้เดินหน้าต่อ อย่าหยุด ขอให้เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง “อย่าเกียร์ว่าง” ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วในรัฐบาลก่อนหน้าซึ่งการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ส่งผลสูญเสียโอกาสในทุกด้าน
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น จากที่ผ่านมาตลาดหุ้นส่วนใหญ่มองว่า นายเศรษฐา ทวีสิน จะได้อยู่ต่อ แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่า ทำให้มีความเสี่ยงเกิดขึ้นในแง่ของภาวะสุญญากาศทางการเมือง แม้ว่าจะมีนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ แต่ก็อยู่ที่ว่าจะดำเนินนโยบายได้เต็มที่หรือไม่ และนอกจากนี้ก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการยุบสภาอยู่ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็ต้องดูว่าจะเลือกใครมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ และมาจากพรรคไหน รัฐมนตรีจะเปลี่ยนคนหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือนโยบายที่ได้ทำมาจะทำต่อเนื่องหรือไม่ และมองว่าจะเกิดสุญญากาศทางการเมืองในระยะหนึ่ง แต่หากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเลย ก็อาจจะใช้เวลาไม่นานในการนำชื่อเข้าสภา แต่นั่นหมายถึงว่าต้องคุยกับพรรคร่วมให้ได้ก่อน
ส่วนผลกระทบต่อตลาดทุนไทย ถ้ามองในข้อดี หุ้นตกไม่แรง เพราะทุกคนรับสภาพแล้วว่าตลาดทุนไทยวันนี้ถูกเกินพื้นฐาน เพราะเราเป็นตลาดทุนที่เพอร์ฟอร์มได้แย่เกือบที่สุดในโลก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และวันนี้แรงเทขายก็ไม่น่าจะมีมาก เพราะว่าราคาหุ้นหลายๆ บริษัทก็อยู่ในระดับต่ำกว่าพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าปัจจัยทางด้านบรรยากาศทางการเมือง ปัจจัยทางด้านเซนทิเมนต์ต่างๆ ก็ยังไม่เอื้ออำนวยให้คนกล้าเข้ามาลงทุน ฉะนั้นวันนี้จึงคิดว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังอยู่ในบรรยากาศซึมๆ ไม่เกิดแรงเทขายมากไปกว่านี้ เพราะว่าทิศทางการเมืองอาจจะพลิกอีก หรืออาจจะมีการคุยกันไม่ลงตัว มีการเปลี่ยนขั้ว ซึ่งก็เป็นความไม่แน่นอน ทั้งนี้ตนมองว่า นักลงทุนยังมองว่ารัฐบาลจะเป็นขั้วเดิม เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบ้าง แต่ไม่เปลี่ยนนโยบาย ก็จะทำให้ทุกอย่างสานต่อได้ สิ่งที่ต้องการจะเห็นคือความต่อเนื่อง เพราะในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีทีท่าจะฟื้นตัว ในบ้านเรากำลังซื้อก็ยังดีอยู่ แต่อาจจะมีโครงการที่หายไปหรือสะดุด เช่น โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ยังไม่มีความแน่นอน หากมองในแง่หนึ่งก็เป็นข้อดี หากรัฐบาลชุดใหม่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ 4-5 รอบ มีเงินเข้าสู่ร้านค้าชุมชนได้จริง และขยายไปภาพใหญ่ ตามคอนเซปต์เดิมที่วางไว้ก็อาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ แต่ขณะที่ปัจจุบันก็ยังมีหลายคำถามอยู่ ซึ่งตนคิดว่าถ้าทีมใหม่ปรับรูปแบบดำเนินการให้ง่ายขึ้น แต่ได้ผลในภาพกว้างตามคอนเซปต์ที่วางไว้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่เหลือในระบบ 4 แสนกว่าล้านบาท ในช่วงเวลาที่อยู่เพียง 2 เดือน ก็ต้องหาวิธีการเร่งเบิกจ่ายออกมา
ส่วนกองทุน Thai ESG ไม่น่าจะมีผลกระทบ เพราะผ่านมติ ครม.ไปแล้ว ส่วนกองทุนวายุภักดิ์ ตนไม่แน่ใจเพราะยังไม่ได้เข้า ครม.ก็ต้องติดตามต่อว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะทำเรื่องนี้หรือไม่
“ผมคาดหวังว่า มติศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้ ครม.ชุดใหม่ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงบางนโยบายที่ทำได้ช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ถือเป็นข้อดี เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าดูเหมือนเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ก็ไปได้ไม่สุดเหมือนที่ควรจะเป็น ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น หากมีการปรับรูปแบบบ้าง” นายไพบูลย์ กล่าว. -512, 517-สำนักข่าวไทย