กรุงเทพฯ 31 ก.ค.-เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือนครึ่งที่ 35.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปิดตลาดที่ระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.99 บาทต่อดอลลาร์ฯ
นส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามค่าเงินเยนที่ได้รับแรงหนุนจากผลการประชุม คณะกรรมการธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่น( BoJ) ขึ้นดอกเบี้ยและเปิดแผนทยอยลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาล ประกอบกับมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในวันนี้ซื้อสุทธิพันธบัตรและหุ้นไทย 1,886 ล้านบาท และ 301.04 ล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังไม่มีแรงหนุนมากนักเนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามผลการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.50-35.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ( Fed) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ ข้อมูล PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค. ของยูโรโซน และสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ
BOJ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% จากระดับ 0%-0.1% และปรับลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นรายเดือนลงสู่ระดับ 3 ล้านล้านเยน (2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในสิ้นปี 2569 จากระดับ 6 ล้านล้านเยน โดยการตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนานใหญ่ที่ BOJ ดำเนินการมาเป็น 10 ปี
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการBOJ ระบุแม้จะได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนักและหากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ BOJก็จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
นายอุเอดะ ระบุแม้การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้ออาจจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภค แต่ว่าการอุปโภคบริโภคก็ยังคงอยู่ในทิศทางที่แข็งแกร่ง ส่วนข้อมูลด้านค่าจ้างแสดงให้เห็นว่าการจ่ายค่าจ้างปรับตัวสูงขึ้น และจะกระจายตัวเป็นวงกว้างขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนการอุปโภคบริโภคและเงินเฟ้อ คาดว่าวงจรของค่าจ้างและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นปานกลางเช่นนี้จะดำเนินต่อไป นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลให้ราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมาย.-511.-สำนักข่าวไทย