กรุงเทพฯ 17 ก.ค. – ประธาน ส.อ.ท.ระบุผลกระทบเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศฉุดดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย.67 อยู่ที่ระดับ 87.2 ปรับตัวลดลงจาก 88.5 ในเดือน พ.ค.67 โดยปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 แนะรัฐเร่งหาทางช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับผู้ประกอบการทุกภาคอุตสาหกรรมด่วน พร้อมวิงวอนภาครัฐดูแลค่าไฟและแรงงานขั้นต่ำถือว่ากระทบต้นทุนเอกชนอยู่มาก
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ระดับ 87.2 ปรับตัวลดลงจาก 88.5 ในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดรอบ 24 เดือน และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีฯ พบว่าปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ ทั้งยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ โดยมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวช้า จากอุปสงค์ในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ จากปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย รถยนต์บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ส่งผลให้การบริโภคในประเทศชะลอลง
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการ SMEs ประสบปัญหาสภาพคล่อง ขาดเงินหมุนเวียนในกิจการ และเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนดู้คอนเทนเนอร์และเรือขนส่งสินค้ายังเป็นปัญหาต่อเนื่อง ทำให้ค่าระวางเรือเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายน ยังมีปัจจัยสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศช่วง Low season และมาตรการฟรีวีซ่าช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่การขยายตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ อาเซียน อินเดีย และจีนที่เริ่มฟื้นตัว ตลอดจนการอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,341 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนมิถุนายน 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 62.4 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 63.4 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 49.4 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 61.9 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 57.1อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 35.1ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 93.4 ปรับตัวลดลง จาก 95.7 ในเดือนพฤษภาคม 2567 ต่ำสุดในรอบ 33 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการปรับ ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการ โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการ SMEs ขณะที่ความไม่แน่นอนของปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และห่วงโซ่การผลิตในตลาดโลก นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน รอบใหม่ จากการ ที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม อาจทำให้สินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันในไทยเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ช่วยหนุนเศรษฐกิจให้เติบโต
อย่างไรก็ตาม โดย ส.อ.ท.ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ คือ 1. เสนอให้ภาครัฐหาแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงค่าระวางเรือ (Freight) และ ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม (Surcharge) ต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นในทุกเส้นทาง อาทิ ออกมาตรการอุดหนุนค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งให้กับผู้ประกอบการ SMEs 2.เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการป้องกันสินค้าต่างชาติที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศ เพื่อลดผลกระทบให้กับ ผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand หรือ MiT) 3.เร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐให้ได้ตามเป้าหมาย และให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณากำหนดระยะเวลาการ ส่งมอบงานให้เร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในเดือนกันยายน 2567 และเป็นที่น่าดีใจหลังภาครัฐส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐหันมาซื้อสินค้าไทยทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในไทยมากขึ้นกว่า 1002,000 ล้านบาทและคาดหวังภายใน 2 ปี หากส่งเสริมต่อเนื่องเม็ดเงินจะหมุนเวียนเพิ่มขึ้นกว่า 200,000-300,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวทางที่เงินหมุนเวียนในประเทศได้ และอยากให้รัฐส่งเสริมมาตรการนี้โดยผ่านให้เอกชนไทยหันมาซื้อและใช้ของไทยได้และเอกชนสามารถนำไปลดหย่อยภาษีได้จะทำให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
“สิ่งที่น่ากังวลของภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบ คือ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากปัญหาค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้าและค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้นอีกนั้น จะทำให้ความสามารถการแข่งขันของไทยลดลง เห็นได้จาก 5 เดือนปี 67 มีการปิดกิจการไปแล้วกว่า 358 ราย โดยหากรวมของปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีมากถึง 2,000 โรงงาน และมีแนวโน้นอาจจะเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีไทยที่อาจจะปิดกิจการลงไปมากพอควร และที่สำคัญค่าไฟฟ้าของไทยถือว่าสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนานอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย อินโดนีเซียอยู่ที่ 3.30 บาทต่อหน่วย ขณะที่ไทยค่าไฟอยู่ที่ 4-5 บาทต่อหน่วยและยิ่งค่าไฟฟ้ารอบใหม่เดือน กย-ธค 67 ตามที่ กกพ.ประเมินแนวทางออกมาถึง 3 แนวทาง ส่วนใหญ่ถือว่าสูงขึ้นและอาจถึง 6 บาทต่อหน่วยถือว่าไม่เป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมไทยทั้งสิ้น และยิ่งรัฐบาลเตรียมปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างแรงงานขั่นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในเดือน ต.ค.67 นี้ จะเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคอุตสหกรรมปิดตัวหรือลดคนงานลดอีกแน่นอน ดังนั้น ภาคเอกชนทั้ง ส.อ.ท.และกกร.อยากวิงวอนให้ภาครัฐช่วยดูแลมาตรการเหล่านี้ให้อยู่ระดับที่เหมาะสม เพราะหากสูงเกินไปไม่เฉพาะเอกชนไทยเท่านั้น ยังกระทบต่อการตัดสินใจของเอกชนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยด้วยเช่นกัน” นายเกรียงไกร กล่าว . -514-สำนักข่าวไทย