ปตท.จัดประกวด Spark the Local 2024 by PTT ปั้นให้ปัง จุดพลังให้สินค้าชุมชน

9 ก.ค. – ปตท. ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมการประกวด Spark the Local 2024 by PTT “ปั้นให้ปัง จุดพลังให้สินค้าชุมชน” วางแผนพัฒนาสินค้าและการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ประเภท “อาหารแปรรูป” ภายใต้แนวคิด “ปรับปรุง แปลงโฉม ปั้นแบรนด์” ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 บาท


วัตถุประสงค์ของกิจกรรม

เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนได้ใช้ศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนา ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชน


เพื่อขยายโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าและผู้บริโภคกลุ่มใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชน

เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชน

โจทย์การประกวด


ผู้เข้าแข่งขันจะต้องสร้างแผนพัฒนาสินค้าและการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ประเภท “อาหารแปรรูป” ภายใต้แนวคิด “ปรับปรุง แปลงโฉม ปั้นแบรนด์”

“ปรับและปรุง” ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปของไทย ให้ถูกใจ และ ถูกปากลูกค้าได้มากขึ้น

“แปลง” โฉมสินค้า ให้บรรจุภัณฑ์ทันสมัย เพิ่มมูลค่าในราคาเหมาะสม

“ปั้น” แบรนด์ให้ปัง เล่าเรื่องราวสะท้อนเอกลักษณ์ชุมชนและความโดดเด่นของสินค้าให้เป็นที่จดจำ

เงื่อนไขการส่งผลงาน

ในการส่งผลงานเข้าประกวด กำหนดให้ใช้ผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชน ประเภทอาหารแปรรูป ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานรับรอง และชุมชนเจ้าของผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชนต้องมีความสนใจในการพัฒนาสินค้าในอนาคต

ผู้สมัครจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชนที่เลือก หรือได้รับการยินยอมให้ใช้ผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชนนั้นในการส่งประกวด

ผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชนที่เลือกมาส่งประกวด จะต้องสามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน

ผู้สมัครจะต้องกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม (Google Form) ให้ครบถ้วน และ Upload ไฟล์นำเสนอผลงานในรูปแบบคลิปสั้น (ถ้ามี) โดยเป็นคลิปที่มีความยาวไม่เกิน 5 นาทีและขนาดไฟล์ไม่เกิน 10GB และ/หรือ Upload ไฟล์นำเสนอผลงานในรูปแบบไฟล์ pdf (ถ้ามี)

ผู้สมัครจะต้องเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้นๆ ด้วยตนเอง ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง เลียนแบบผลงานของบุคคลอื่นๆ หรือนำผลงานของผู้อื่นมาส่งหรือส่งในนามผู้อื่น โดยผู้ส่งผลงานเข้าประกวดต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งเข้าประกวดนั้น เป็นผลงานที่ตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียง ผู้เดียว รวมถึงไม่มีข้อผูกมัดเรื่องลิขสิทธิ์ในตัวผลงานกับหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ และไม่ขัดต่อกฎหมาย และต้องเป็นผลงานที่ไม่เคยเผยแพร่สู่สาธารณะมาก่อน หากตรวจพบว่ามีการทุจริต ถือว่าสละสิทธิ์การแข่งขันและรับรางวัล แม้จะประกาศผลไปแล้ว ทางผู้จัดงานสามารถเรียกคืนรางวัลได้

ผู้สมัครยินดี และตกลงยินยอมให้ผลงานเป็นกรรมสิทธิ์ และลิขสิทธิ์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยขอสงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ หรือลดทอนเนื้อหาได้ตามความเหมาะสม โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ตอบแทนทั้งสิ้น

ผู้สมัครจะต้องไม่เปิดเผย ทําสําเนา หรือทําการอื่นใดทํานองเดียวกันแก่องค์กรหรือบุคคลอื่น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เท่านั้น

เงินรางวัลที่ได้รับ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินรางวัลตามกฎหมาย 5%

ผู้เข้าแข่งขันทุกคน ถือว่าได้รับทราบ และยอมรับในเงื่อนไขการเข้าร่วมการประกวดเรียบร้อยแล้ว

ผลการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด

คุณสมบัติและเงื่อนไขการสมัคร

ผู้สมัครจะต้องมีอายุระหว่าง 18-40 ปี (หรือเทียบเท่า) ณ วันที่สมัครเข้าร่วมการประกวด

จำนวนสมาชิกในทีมไม่เกิน 5 คน/ทีม โดยผู้สมัครทุกคน สามารถลงชื่อสมัครได้เพียงทีมเดียวเท่านั้น หากเกิดกรณีทีมที่มีผู้แข่งขันซ้ำ ทีมจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันทันที

แต่ละทีมมีสิทธิ์ส่งผลงานได้ทีมละ 1 ผลงานเท่านั้น

หากทีมหรือสมาชิกภายในทีมมีคุณสมบัติไม่ตรงกับกฎระเบียบการแข่งขัน หรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือทำผิดกฎกติกาที่ตั้งไว้ ทีมจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันทันที

ผู้สมัครยินยอมให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำภาพกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดโครงการ ไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ และสามารถนำมาใช้พัฒนาต่อเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและองค์กร โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ และไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

กำหนดการการประกวด
15 กรกฎาคม – 9 กันยายน 2567 เปิดรับสมัคร
9 กันยายน 2567 (เวลา 18.00 น.) ปิดรับผลงาน
10-12 กันยายน 2567 คณะกรรมการคัดเลือกผลงานรอบแรก (15 ทีม)
13 กันยายน 2567 ประกาศรายชื่อทีมที่เข้ารอบ 15 ทีม
18 กันยายน 2567 15 ทีม นำเสนอผลงาน รอบ Audition ณ ปตท. สำนักงานใหญ่
20 กันยายน 2567 ประกาศรายชื่อทีมที่เข้ารอบ Final (5 ทีม)
25 กันยายน 2567 5 ทีม รับข้อเสนอแนะและคำปรึกษาจากที่ปรึกษาโครงการ
26 กันยายน – 7 พฤศจิกายน 2567 พัฒนาผลงานเพื่อนำเสนอในรอบ Final
8-10 พฤศจิกายน 2567 นำเสนอผลงานรอบ Final ที่งานร้านเด็ดแฟร์

การคัดเลือกผลงานรอบที่ 1 : ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม – วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2567

ผู้สมัครต้องส่งแผนพัฒนาสินค้าและการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ประเภท “อาหารแปรรูป” ภายใต้แนวคิด “ปรับปรุง แปลงโฉม ปั้นแบรนด์” โดยใส่รายละเอียดให้ครบถ้วนลงในแบบฟอร์ม (Google Form) ที่ทาง ปตท. กำหนดไว้ ภายในวันจันทร์ 9 กันยายน 2567 เวลา 18.00 น. ซึ่งคณะกรรมการจะทำการคัดเลือกผลงานที่ส่งเข้าประกวด จำนวน 15 ผลงาน เพื่อผ่านเข้าสู่รอบ Audition โดยจะประกาศรายชื่อ 15 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบ Audition ในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2567 ทาง Facebook : ชุมชนยิ้มได้ โดยกลุ่ม ปตท.

การคัดเลือกผลงานรอบ Audition : นำเสนอผลงานในวันพุธที่ 18 กันยายน 2567

15 ทีมที่เข้ารอบจะต้องนำเสนอผลงานกับคณะกรรมการ ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต หรือผ่านทาง Online (ในกรณีที่ไม่สามารถเดินทางมาได้) ในวันพุธที่ 18 กันยายน 2567 โดยแต่ละทีมจะมีเวลาในการนำเสนอ 10 นาที และเปิดโอกาสให้คณะกรรมการซักถาม 5 นาที โดยทีมงานจะทำการติดต่อเพื่อนัดหมายเวลาในการนำเสนออีกครั้ง โดยจะประกาศรายชื่อ 5 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบ Final ในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2567 ทาง Facebook : ชุมชนยิ้มได้ โดยกลุ่ม ปตท.

เกณฑ์การตัดสินผลงานรอบที่ 1 และรอบ Audition

ด้านผลิตภัณฑ์ (20 คะแนน)
1.1 คุณภาพของสินค้า (คุณภาพของวัตถุดิบ กระบวนการแปรรูป และมาตรฐานรับรองที่ได้รับ) (10 คะแนน)
1.2 เอกลักษณ์ ความโดดเด่นและแตกต่างของสินค้า (10 คะแนน)

ด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (30 คะแนน)
2.1 ความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ (15 คะแนน)
2.2 ความสะดวกในการใช้งาน (15 คะแนน)

ด้านการตลาด (30 คะแนน)
3.1 ระบุกลุ่มเป้าหมาย ช่องทางการสื่อสาร ช่องทางจำหน่าย ชัดเจนและสอดคล้องกัน (15 คะแนน)
3.2 เอกลักษณ์ของแบรนด์โดดเด่น สวยงาม น่าจดจำ และมีเรื่องราวที่สนใจ (15 คะแนน)

ด้านความยั่งยืน (10 คะแนน)
4.1 ด้านสังคม (การทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน การสะท้อนเอกลักษณ์ อนุรักษ์วัฒนธรรม ฯลฯ) (10 คะแนน)
มีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน เห็นภาพ (10 คะแนน)

รับคำแนะนำจากที่ปรึกษา : พบที่ปรึกษาวันพุธที่ 25 กันยายน 2567

5 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบ Final เข้าพบที่ปรึกษาพัฒนาผลงาน ณ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต ในวันพุธที่ 25 กันยายน 2567 เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยน รับคำแนะนำ สำหรับนำไปปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชนตามที่ได้นำเสนอ ให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งแต่ละทีมจะมีเวลาในการเข้าพบคณะกรรมการไม่เกิน 60 นาที โดยทีมงานจะทำการติดต่อเพื่อนัดหมายเวลาในการนำเสนอ อีกครั้ง

หลังจากได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาพัฒนาผลงานแล้ว ทั้ง 5 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ Final จะต้องทำการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชน ให้เห็นภาพชัดเจนทั้งก่อนและหลัง รวมถึงออกแบบแผนการตลาดที่สามารถใช้ได้จริง เพื่อนำเสนอและวางจำหน่ายจริงในรอบ Final ที่งานร้านเด็ดแฟร์ โดย ปตท. จะมีงบประมาณในการพัฒนาผลิตภัณฑ์/สินค้าชุมชนต้นแบบ และเตรียมการต่างๆ ทีมละไม่เกิน 20,000 บาท

เงินจำนวน 20,000 บาท จะต้องนำไปใช้ในการพัฒนาสินค้าต้นแบบตามที่ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการ

การตัดสินผลงานรอบสุดท้าย (Final) : นำเสนอผลงานในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567

5 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบ Final สมาชิกในทีมทุกคนจะต้องมานำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการที่งาน “ร้านเด็ดแฟร์” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2567 โดยแต่ละทีมจะได้รับการจัดสรรพื้นที่บูธสำหรับจำหน่ายและจัดแสดงสินค้า จำนวน 1 บูท

แต่ละทีมจะมีเวลาในการนำเสนอผลงาน 15 นาที และเปิดโอกาสให้คณะกรรมการซักถาม 10 นาที ไม่จำกัดเทคนิคหรือรูปแบบในการนำเสนอ โดยจะประกาศทีมที่ได้รับรางวัลภายในงานร้านเด็ดแฟร์

เกณฑ์การตัดสินรอบ Final

ด้านผลิตภัณฑ์ (15 คะแนน)
1.1 คุณภาพของสินค้า (คุณภาพของวัตถุดิบ กระบวนการแปรรูป และมาตรฐานรับรองที่ได้รับ) (5 คะแนน)
1.2 เอกลักษณ์ ความโดดเด่นและแตกต่างของสินค้า (10 คะแนน)

ด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (35 คะแนน)
2.1 ความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ (15 คะแนน)
2.2 ความสะดวกในการใช้งาน (10 คะแนน)
2.3 ความเป็นไปได้จริง (Feasibility ในด้านการผลิตและด้านต้นทุน) (10 คะแนน)

ด้านการตลาด (35 คะแนน)
3.1 ระบุกลุ่มเป้าหมายชัดเจน (5 คะแนน)
3.2 เอกลักษณ์ของแบรนด์สวยงามและเป็นที่จดจำ (10 คะแนน)
3.3 เรื่องราวของแบรนด์น่าสนใจ (10 คะแนน)
3.4 วางแผนการสื่อสารแบรนด์ได้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในด้านช่องทางการสื่อสารและเนื้อหา และช่องทางการจัดจำหน่าย (10 คะแนน)

ด้านความยั่งยืน (15 คะแนน)
4.1 คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (5 คะแนน)
4.2 ผลกระทบต่อชุมชน (10 คะแนน)
4.2.1 ด้านเศรษฐกิจ (ผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับจากการพัฒนาสินค้านี้)
4.2.2 ด้านสังคม (การทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน การสะท้อนเอกลักษณ์ อนุรักษ์วัฒนธรรม ฯลฯ)

รางวัลการประกวด
รางวัลชนะเลิศ : เงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : เงินรางวัล 70,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 3 และ 4 : เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
และโอกาสในการเข้าร่วมโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนร่วมกับ ปตท.

สามารถส่งผลงานผ่านช่องทาง Google Forms ได้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม – 9 กันยายน 2567
คลิกเพื่อส่งผลงาน https://forms.gle/prPCVKn3UA1oCcXh7

หรือดูรายละเอียดการประกวดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3zC7d3C

ติดต่อสอบถาม
E-Mail: communityhappiness@pttplc.com
Facebook : ชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท. https://www.facebook.com/pttcommunityhappiness
Tel : 02-537-2169 และ 02-537-1118

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]