กรุงเทพฯ 3 ก.ค. – ที่ประชุม กกร.ถกเตรียมทบทวนสมุดปกขาวใหม่ หลังทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย คาดจะนำเสนอสมุดปกขาวให้ต่อรัฐบาลในเดือนหน้าเพื่อให้ภาครัฐหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งตรงและอ้อม พร้อมผลกระทบที่มากสุดและจะเจอ คือ ค่าแรงขั้นต่ำ ขอให้ภาครัฐช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ด่วน ขณะที่จีดีพีปี 67 คงโตแค่ 2.2 -2.7 แต่ส่งออกปรับใหม่บวก 0.8-1.5 จากเดิม 0.5-1.5
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย (ประธาน กกร.) และ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยนายผยง กล่าวว่า ที่ประชุม กกร.ในวันนี้มีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในหลาย ๆ ด้านและเห็นว่าบางเรื่องบางเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะความรุนแรงด้านสงครามระหว่างประเทศและอื่นๆ จึงทำให้ กกร.เตรียมประเมินและจัดทำสมุดปกขาวใหม่เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลช่วยหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่เหลือของปีนี้ คาดว่าสมุดปกขาวของ กกร.จะนำเสนอต่อรัฐบาลได้ในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม จากการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ต้นทุนและระยะเวลาการขนส่งเพิ่มขึ้น การค้าโลกชะลอตัวตลอดไตรมาสที่ 2 และคาดว่าจะต่อเนื่อง เป็นผลจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่รุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางส่วนเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯต่อจีนมีผลภายในปีนี้ ส่งผลให้ค่าระวางเรือล่าสุดปรับตัวขึ้น 95% เมื่อเทียบจากเดือน เม.ย. 67 ขณะที่ใช้ระยะเวลาในการขนส่งนานขึ้นตามภาวะขนส่งคับคั่งและขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมต่อภาคการผลิตและการส่งออกของโลกในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ การส่งออกไทยเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ-จีน การขึ้นภาษีของสหรัฐฯต่อสินค้าจีนรอบใหม่อาจกระทบสินค้าส่งออกไทยที่เป็นห่วงโซ่อุปทานให้แก่จีน ซึ่งประเมินว่าสินค้าเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วน 19.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปจีน โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบมาก เช่น ยางแผ่นยางแท่ง เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ เป็นต้นอย่างไรก็ดีอาจมีปัจจัยบวกชั่วคราวจากการเร่งสั่งซื้อสินค้าและการปรับเปลี่ยนมาส่งออกจากไทย คาดว่ามูลค่าการส่งออกทั้งปีปรับดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมีประเด็นฉุดรั้งจากเรื่องต้นทุนจากการขาดแคลนเรือและตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงระยะเวลาการขนส่งที่เพิ่มขึ้น กกร. จึงปรับกรอบการเติบโตของการส่งออกเป็น 0.8-1.5% จากเดิม 0.5-1.5%
ขณะที่การชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และอสังหาฯ กระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทย อุปสงค์ในประเทศยังเปราะบางโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูง อย่างยานยนต์และอสังหาฯ โดยยอดจำหน่ายรถยนต์ในช่วง 5 เดือนแรกหดตัว 24% เป็นผลมาจากผู้บริโภคมีรายได้จากเศรษฐกิจนอกระบบเป็นสัดส่วนสูง ส่วนยอดโอนอสังหาฯ 4 เดือนแรกสำหรับบ้านจัดสรรหดตัว 11.8% และอาคารชุดหดตัว 7.4% ซึ่งหากอุตสาหกรรมยานยนต์และอสังหาฯ มีแนวโน้มหดตัวมากขึ้นอาจจะกระทบทำให้ GDP ปีนี้ลดลงกว่าที่คาดไว้ 0.3-0.4%
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีความกังวลต่อปัญหาการขนส่งทางเรือและการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมและจำกัดความสามารถในการส่งออกของไทยที่อยู่ในภาวะเติบโตต่ำขอให้ภาครัฐมีมาตรการหรือแนวทางเร่งด่วนเพื่อรับมือกับสถานการณ์การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่มีแนวโน้มลากยาวตลอดช่วงที่เหลือของปี รวมถึงลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการผลิตจากการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ที่ประชุม ยังมีความกังวลถึงต้นทุนด้านพลังงาน โดยในการพิจารณาปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024 ) และแผนปฏิบัติการด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2567-2580 (AEDP 2024) ที่อยู่ระหว่างการทบทวนขอให้คำนึงถึงประเด็นเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการในระยะยาว และการปรับให้น้ำมัน E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานแทน E10 และขอให้มีกลไกจัดการเพื่อให้ผลประโยชน์อยู่กับเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง
ขณะที่ กกร.จังหวัด ทั่วประเทศได้มีการประชุมหารือผู้แทนในคณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด (ไตรภาคีระดับจังหวัด) เกี่ยวกับนโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และได้แสดงความกังวลต่อผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน ทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SME ในภาคเกษตรและบริการไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ประกอบการภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ชะลอตัวต่อเนื่องทำให้ส่งกระทบต่อรายได้ในช่วงที่ผ่านมา จึงได้ให้ความเห็นกับคณะกรรมการไตรภาคีระดับจังหวัด ให้ค่าแรงที่ปรับมีความเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. เน้นย้ำถึงความสำคัญในการใช้กลไกของคณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด(ไตรภาคี) ในการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่
นอกจากนี้ กกร. ได้ให้ความสำคัญกับการจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (Competency Based Pay) ด้วยความร่วมมือเชิงรุกจากภาคนายจ้าง ลูกจ้าง และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเร่ง Upskill, Reskill ให้แรงงานไทยมีทักษะฝีมือตามมาตรฐาน โดยกกร. จะร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกระทรวงแรงงาน เพื่อดำเนินการสนับสนุนโดยปัจจุบันกระทรวงแรงงานได้มีการกำหนดมาตรฐานทักษะฝีมือแรงงานแล้ว จำนวน 279 สาขา และมีการกำหนดอัตราค่าจ้างตามทักษะมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้ว จำนวน 129 สาขา ซึ่งสามารถเป็นกลไกในการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงตามทักษะแทนการพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงจะเป็นระบบที่สามารถรับรองทักษะแรงงาน ตอบโจทย์เทคโนโลยีและบริบทของธุรกิจที่เปลี่ยนไปยกระดับรายได้ให้แก่แรงงาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Productivity) ให้แก่ประเทศและเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้ประชาชนมีกำลังซื้อ แต่อาจต้องกลับมาดูว่าค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน ที่จะปรับขึ้นทั่วประเทศในเดือนตุลาคมนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างมากได้
นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวถึงกรณีที่ผู้นำเข้ารถยนต์อีวีใช้กลยุทธ์ด้านราคาต่ำเพื่อจูงใจซื้อนั้น เห็นว่าไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไร มาจากบริษัทแม่ในจีนต้องการระบายรถที่ผลิตออกมา และเพื่อต้องการทำกำไร จึงได้นำวิธีการลดราคาเพื่อจูงใจการขายเท่านั้น ถือว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น.-514-สำนักข่าวไทย