ซีอีโอใหม่ ราช กรุ๊ป สานต่อเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน 

นนทบุรี 28 พ.ค. – ซีอีโอคนใหม่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 ด้วยแนวคิด “ทำแล้ว ทำต่อ ทำให้ดีขึ้น” ผลักดันภารกิจสำคัญ 5 ด้าน ขยายการลงทุนใน 5 ประเทศ


นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แถลงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนราช กรุ๊ป สู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ด้วยแนวคิด “ทำแล้ว ทำต่อ ทำให้ดีขึ้น” จะดำเนินการผลักดันภารกิจสำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) กลยุทธ์ธุรกิจ ทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และธุรกิจนอกภาคผลิตไฟฟ้า หรือ Non-power เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสร้างมูลค่าและคุณค่าระยะยาวให้กับบริษัทฯ อีกทั้งรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง 2) การลงทุน ที่มุ่งเน้นสร้างความสมดุลระหว่างการเข้าซื้อกิจการที่ดำเนินการแล้ว และการพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อรักษากระแสเงินสดและอัตราผลตอบแทนให้เหมาะสม 3) การบริหารสินทรัพย์ โดยให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าเพื่อให้เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีความมั่นคงเชื่อถือได้สำหรับประเทศและลูกค้า ตลอดจนสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้กับบริษัทฯ 4) การบริหารการเงิน ให้พร้อมสำหรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศและเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 5) การบริหารทรัพยากรบุคคล ด้วยการเสริมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับธุรกิจในอนาคต รวมถึงการเน้นย้ำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกระบวนการทำงานและการดำเนินธุรกิจ โดยยึดมั่นธรรมาภิบาล คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และสังคม ด้วยเชื่อมั่นว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะรองรับองค์กรให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน 

สำหรับการดำเนินธุรกิจของราช กรุ๊ป ยังเดินหน้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าโดยจะมุ่งเป้าให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจ และความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จควบคู่กันไป สำหรับโครงการประเภทเชื้อเพลิงหลัก บริษัทฯ จะพิจารณาลงทุนในประเทศที่ยังคงมีแผนใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้ โดยจะเน้นที่ก๊าซธรรมชาติเป็นสำคัญเพราะยังได้รับการยอมรับในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงประเภทอื่นได้ ซึ่งประเทศไทยและอินโดนีเซียยังมีโอกาสที่ดี ส่วนโครงการพลังงานทดแทน ยังคงเดินหน้าสานต่อเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตให้สำเร็จไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ในปี 2573 เพื่อสนับสนุนโรดแมปการลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ของประเทศด้วย สำหรับประเทศที่อยู่ในความสนใจลงทุนจะเป็นฐานธุรกิจเดิมของบริษัทฯ ได้แก่ ประเทศไทย ออสเตรเลีย สปป.ลาว อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าปี 2567-2573 มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นปีละ 700 เมกะวัตต์ ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ในมือรวมประมาณ 4,340 เมกะวัตต์ สำหรับธุรกิจ Non-power บริษัทฯ พิจารณาที่จะขยายการลงทุนครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่าของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งรวมถึงระบบโลจิสติกส์ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการสุขภาพ นอกจากนี้ยังเพิ่มน้ำหนักกับเชื้อเพลิงในอนาคต โดยเฉพาะไฮโดรเจน รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของสินทรัพย์ ได้แก่ เทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน การนำดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อบริหารต้นทุนและระบบดักจับ ใช้ประโยชน์และกักเก็บคาร์บอน เป็นต้น โดยยังคงเป้าหมายรายได้จากธุรกิจกลุ่มนี้ที่ร้อยละ 5 ในปี 2570 ซึ่งในปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดสรรงบลงทุนไว้จำนวน 15,000 ล้านบาท


นอกเหนือจากการลงทุนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มแล้ว การบริหารสินทรัพย์และการเงินก็ได้วางแนวทางที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ให้มีความสม่ำเสมอและรักษาผลตอบแทนการลงทุนให้กับบริษัทฯ รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียในระดับที่สมเหตุสมผล สินทรัพย์โรงไฟฟ้าทั้งประเภทเชื้อเพลิงหลักและพลังงานทดแทนถือเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทฯ ซึ่งอยู่ในประเทศไทย สปป. ลาว ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย  ในการบริหารสินทรัพย์จะเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการติดตามการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในด้านการเงินจะให้ความสำคัญกับการจัดหาแหล่งเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจใหม่ ตลอดจนการบริหารต้นทุน สภาพคล่อง และผลตอบแทบสำหรับผู้ถือหุ้น ที่สำคัญ เราจะมุ่งพัฒนาศักยภาพความสามารถของพนักงานโดยการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน รวมทั้งสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยผนวกเข้าไปในกระบวนการทำงานภายในทั้งองค์กรและบริษัทในเครือ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า แนวทางดังกล่าวจะทำให้ราช กรุ๊ป สามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงและส่งมอบคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะสานต่อและยกระดับการดำเนินงานสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะประเด็นที่มีนัยสำคัญต่อบริษัทฯ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความผูกพันกับชุมชน สิทธิมนุษยชน ความพึงพอใจของลูกค้า การบริหารซัปพลายเชน การต่อต้านการทุจริตคอรัปชัน ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยหลักการและมาตราฐานที่สากลยอมรับมาใช้ในการดำเนินงานในแต่ละประเด็นซึ่งมีความก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์ 

สำหรับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทฯ ได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 (พ.ศ. 2593) และวางแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้ 3 วิธีการ พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายย่อยในปี 2573 ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานโดยจะลดปริมาณความเข้มข้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนและธุรกิจสีเขียว ซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้ร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตรวม และการชดเชยหรือดูดกลับคาร์บอน โดยมีเป้าหมายเพิ่มการดูดกลับคาร์บอนจากภาคป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 1 ของปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศไทย.-512 – สำนักข่าวไทย   


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

เสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก”

17 ก.ค. – หลายหน่วยงานรวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” โดย บมจ.อสมท นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานสัมมนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” ยอมรับว่า นับว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกกระทบมายังไทย จากภาษีศุลกากรของสหรัฐกระทบมายังประชาชน ผู้ผลิต เอสเอ็มอีรายย่อย ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ประชาชน จึงต้องร่วมมือกันปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” โดยได้จัดเวทีใหญ่ให้ผู้กำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ และภาคเอกชน มาร่วมแสดงความเห็น ด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ เกาะติดมาตรการกระทรวงการเงินการคลัง พลิกฟื้นกำลังซื้อในประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจ และสงครามการค้า ภาษีนำเข้าของสหรัฐ ว่าทีมไทยแลนด์ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง กำหนดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐช่วงค่ำวันนี้ ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้ง 2 มิติ คือ ผลกระทบที่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตในประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกร รัฐบาลไม่มอง เพียงจะเจรจาภาษีได้เท่าไหร่ ยอมรับไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่จะสานประโยชน์ให้ตกกับทุกฝ่าย […]

ทบ. เร่งตรวจสอบวิเคราะห์ “ทุ่นระเบิด” คาดผลชัด 2-3 วัน

17 ก.ค.- โฆษก ทบ. แจงเร่งตรวจสอบเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดชายแดนช่องบก คาดใช้เวลา 2-3 วัน ชัดเจนเรื่องชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ยังไม่ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังได้รับทราบรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ค.68) เกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ปัจจุบันทุกนายอาการปลอดภัยอยู่ในระหว่างการพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดดังกล่าวนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเข้าพื้นที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน มาดำเนินการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอย่างละเอียด ซึ่งขั้นตอนนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ในเรื่องของชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ตามที่สังคมได้ให้ข้อสังเกตว่าอาจเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่การสู้รบเดิม ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ยังได้กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยในพื้นที่ชายแดน จะได้มีการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมว่า ทางกัมพูชาได้มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในพื้นที่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันทั้งไทยและกัมพูชา ได้ให้สัตยาบันในการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2542.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิด

17 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิดขาขาด เลื่อนยศ “สิบเอก” รับบำนาญเกือบ 30,000 บาท/เดือน เงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้านบาท บรรจุทายาทรับราชการ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ฝ่ายกำลังพลกองทัพภาคที่ 2 ได้ตรวจสอบสิทธิของข้าราชการทหารในการปฏิบัติราชการสนาม และให้ดำเนินการปูนบำเหน็จแก่พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน สูงสุด เพราะ เป็นการปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องอธิปไตยในการ ออกลาดตระเวนและเหยียบกับระเบิดที่เนิน 481 วานนี้ โดย ได้รับการปูนบำเหน็จ เลื่อนชั้นเป็นสิบเอก (ส.อ.) หลังจากรักษาตัวแล้วเสร็จ ปลดเหตุสูญเสียฯจากการรบ ได้รับบำนาญเดือนละ 15,600 บาท ซึ่งเมื่อรวม เงินรายเดือน จากหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้รับเงิน รวม 29,800 บาท/เดือน (โดยประมาณ) […]