กรุงเทพฯ 20 เม.ย. – ธ.กรุงศรี รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 7,543 ล้านบาท ลดลง 13.1% จากไตรมาสแรกของปี 2566 ปัจจัยหลักจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น สินเชื่อเพื่อ SME เติบโตที่ 2.7% สินเชื่ออาเซียนของกรุงเติบโตที่ 4.0% ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 0.9% จากสิ้นปี 2566
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับไตรมาสแรกของปี 2567 กำไรสุทธิ จำนวน 7,543 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปี 2567 ลดลง 13.1% หรือจำนวน 1,133 ล้านบาท จากไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรอง ภายใต้นโยบายการบริหารความเสี่ยงรอบคอบระมัดระวัง เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจกระทบคุณภาพสินเชื่อในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เงินให้สินเชื่อรวม ลดลง 0.9% หรือจำนวน 17,252 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวลดลงตามฤดูกาลของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อรายย่อย ในขณะเดียวกันสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่ออาเซียน ยังคงเติบโตที่ 2.7% และ 4.0% ตามลำดับ
เงินรับฝาก เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 8.9% หรือจำนวน 164,500 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประจำ
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.16% เพิ่มขึ้นจาก 3.35% ในไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดคงค้างของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งเป็นผลมาจากการควบรวมกิจการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 และจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 26.9% หรือ 2,383 ล้านบาท จากไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ จากกิจการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่ควบรวมมาในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2566
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นสู่ 43.0% จาก 44.4% ในไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.69% เมื่อเทียบกับ 2.53% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 ขณะที่การตั้งสำรองอย่างรอบคอบระมัดระวัง โดยเฉพาะสำหรับบริษัทลูกในต่างประเทศ ส่งผลให้สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมปรับสูงขึ้นสู่ระดับที่ 248 เบสิสพอยท์ ในไตรมาสแรกของปี 2567 หากไม่รวมพอร์ตโฟลิโอของสินเชื่ออาเซียน อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ 2.30%
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 141.5% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 18.08% เทียบกับ 18.24% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2567 ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่ต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ช้าลง โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากภาคบริการ ด้วยแรงส่งจากการท่องเที่ยว รวมถึงการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการผลิตในบางประเภทอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณฯ ประจำปี 2567 ที่ล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ยังคงเป็นข้อจำกัดที่สำคัญในไตรมาสที่ผ่านมา คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะสามารถเติบโตได้ในอัตราที่สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาที่ 2.7% โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของเงินให้สินเชื่อรวมปีนี้ที่ 3-5%
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 2.00 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 2.00 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.86 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 310.29 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.08% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 13.44%.-516-สำนักข่าวไทย