เซ็น MOU ขายทุเรียน-มังคุดล่วงหน้า 20,000 ตัน กว่า 3,000 ล้าน

จันทบุรี 23 มี.ค. – รมว.พณ. มั่นใจปีนี้ราคาผลไม้ทุเรียน-มังคุด ไม่ตก เป็นสักขีพยานลงนามข้อตกลง MOU ระหว่างสมาคมนำเข้า-ส่งออก สินค้าเกษตรไทย-จีน กับสมาคมผู้นำเข้าผลไม้จากประเทศจีน โดยขายทุเรียน-มังคุด ล่วงหน้า 20,000 ตัน กว่า 3,000 ล้านบาท ส่งผลดีให้เกษตรกรไทยขายได้ราคาดีทั้งปี พร้อมฝากคุณภาพทุเรียนไทยให้ดียิ่งขึ้น


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลง MOU ระหว่างสมาคมนำเข้า-ส่งออก สินค้าเกษตรไทย-จีน กับสมาคมผู้นำเข้าผลไม้จากประเทศจีน เพื่อเป็นการหาตลาดผลไม้ล่วงหน้า ดึงให้ราคาดี และสร้างความเชื่อมั่นในผลไม้คุณภาพของไทยที่จะส่งออกไปตลาดโลก ที่สมาคมนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรไทย-จีน จ.จันทบุรี โดยได้ชิมทุเรียนหมอนทองแช่แข็งที่นำไปจำหน่ายที่จีนมีรสชาติดี และเดินเยี่ยมชมกระบวนการผลิต การแปรรูปทุเรียนแช่แข็ง และเยี่ยมชมตลาดทุเรียนจันทร์ ซึ่งเป็นตลาดขายผลไม้ของจันทบุรีอีกด้วย

“การทำ MOU ขายทุเรียนและมังคุด ระหว่างบริษัท เคเอเอฟ อิมพอร์ต แอนด์ เอ็กซ์พอร์ต จำกัด กับสมาคมนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรไทย-จีน ปริมาณ 20,000 ตัน มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท (ช่วง เม.ย.-มิ.ย. 2567) และสมาคมนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรไทย-จีน กับบริษัท ซี ซี ไอ ซี (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้การรับรองคุณภาพมาตรฐาน เป็นการตรวจสอบย้อนกลับคุณภาพทุเรียนได้ ซึ่งที่ จ.จันทบุรี มีล้งผลไม้เยอะเกือบ 80% ของประเทศอยู่ที่นี่ มีสมาคมฯ เป็นศูนย์กลางช่วยทำการค้าขายผลไม้ ช่วยรักษาระดับราคาให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกร ตนคิดว่าทุเรียนไทยมีคุณภาพและมีศักยภาพที่สุด มีความพร้อมส่งออก และเรามีการปรับปรุงคุณภาพ มีการแช่แข็งให้ส่งให้ถึงมือผู้บริโภคชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายภูมิธรรม กล่าว


อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์พร้อมช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้เกิดความสะดวกทางการค้า เราเจรจากับด่านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ตนได้พบท่านทูตจีน ขอให้อำนวยความสะดวกผลไม้ไทยมากขึ้น หลังจากนี้ตนจะไปดูด่านโม่ฮาน และด่านโหย่วอี้กวาน ซึ่งเป็นด่านที่มีความสำคัญในการส่งออกผลไม้ เพื่อช่วยเจรจาให้ผู้นำเข้าให้ทุเรียนของเราสามารถส่งออกได้ ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกผลไม้สด แช่แข็ง และผลไม้แห้ง คิดเป็นมูลค่า 238,000 ล้านบาท เป็นการส่งออกทุเรียน ประมาณ 141,000 ล้านบาท และมังคุด 17,000 ล้านบาท ซึ่งผลไม้ทั้งสองชนิดนี้เป็นผลไม้ที่สำคัญของ จ.จันทบุรี โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ประเทศจีน กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญและสนับสนุนชาว จ.จันทบุรี อย่างเต็มที่ เพราะเป็นจุดหลักในการนำส่งออกผลไม้สู่ต่างประเทศ

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายสำคัญในการส่งเสริมสินค้าผลไม้ จัดให้มีงานจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ซึ่งตลาดจีนเป็นตลาดหลักของผลไม้ไทย เรามีสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศที่จีนถึง 9 แห่ง โดยตั้งอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ 7 แห่ง คือ เซี่ยงไฮ้ กวางโจว ชิงต่าว เซี่ยเหมิน หนานหนิง เฉิงตู และคุนหมิง นอกจีนแผ่นดินใหญ่ 2 แห่ง คือ ที่ฮ่องกง และไต้หวัน โดยจะเป็นผู้ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทยและจีน รวมทั้งจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคสินค้าไทยในประเทศจีน

“เราเห็นเอกชนเป็นทัพหน้า จะสนับสนุนให้ท่านทำหน้าที่นำเข้า-ส่งออกให้ดีที่สุด ท่านนายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่าเราจะเป็นกองหลัง เป็นรัฐที่สนับสนุนอำนวยความสะดวกทางการค้า ถ้ามีกฎระเบียบหรืออุปสรรคขัดขวาง รัฐจะมีหน้าที่ช่วยเหลือแก้ไข อะไรที่ทำได้เลยเราจะทำทันที ซึ่งตนได้ให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดช่วยประสานงานแก้ไขปัญหาทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขอฝากชาวสวนรักษาคุณภาพผลผลิต ทุเรียนอ่อนไม่นำไปขาย ทำผลไม้คุณภาพ ขอให้ผู้นำเข้า-ส่งออก ร่วมมือกันไม่แย่งชิงกันทำราคาตก” นายภูมิธรรม กล่าว


สำหรับสถานการณ์ผลผลิตผลไม้ จ.จันทบุรี ปี 2567 คาดว่าทุเรียนจะมีผลผลิต 561,905 ตัน เพิ่มขึ้น 4.35% มังคุด 93,736 ตัน เพิ่มขึ้น 12.36% เงาะ 55,442 ตัน ลดลง 0.59% ลองกอง 5,308 ตัน เพิ่มขึ้น 3.41% ผลผลิตรวม 716,421 ตัน เพิ่มขึ้น 4.92% ซึ่ง จ.จันทบุรี มีล้งที่ผ่านมาตรฐาน GMP จำนวน 827 ล้ง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2567 ในการทำผลไม้คุณภาพและหาตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อระบายผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน.-514-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

สุดจึ้ง! ซาลาเปาแฟนซีแฮนด์เมด รายได้ครึ่งล้านต่อเดือน

“คุณจารุวรรณ” วัย 78 ปี พร้อมครอบครัว ช่วยกันคิดค้นสูตรซาลาเปาแฟนซีเป็นเจ้าแรกใน จ.ตรัง ส่งขายทั่วทุกภาคของประเทศ สร้างรายได้เดือนละ 450,000-500,000 บาท และมีแผนส่งออกไปขายยังต่างประเทศในต้นปีหน้า

เจ้าของคลินิกซิ่งชนไรเดอร์ตกสะพานเสียชีวิต

เจ้าของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ซิ่งเบนซ์ชนไรเดอร์หญิง ตกสะพานต่างระดับย่านพระรามสี่ เสียชีวิต วัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ก่อเหตุ สูงเกินกฎหมายกำหนด

เปิดให้สักการะ “พระเขี้ยวแก้ว” วันแรก

ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว ถึงยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้ว พร้อมเชิญชวนประชาชนสักการะ วันนี้ (5 ธ.ค.) วันแรก ตั้งแต่ 07.00 น.เป็นต้นไป

ข่าวแนะนำ

“ฟิล์ม” เข้ารับทราบข้อกล่าวหา “พยายามกรรโชกทรัพย์-หมิ่นประมาท”

มาตามนัด! “ฟิล์ม รัฐภูมิ” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ปมคลิปเสียงเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท “ดิไอคอนกรุ๊ป”

ผลสอบครูเบญ

ศธ.สรุปผลสอบปม “ครูเบญ” ยืนยันผิดพลาดในการตรวจ-ประกาศข้อสอบ

ศธ.สรุปผลสอบข้อเท็จจริงกรณี “ครูเบญ” ยืนยัน เกิดความผิดพลาดในการตรวจและประกาศข้อสอบ ส่งกระดาษคำตอบของครูเบญ และครูที่สอบได้ ให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจ ไม่พบการแก้ไขกระดาษคำตอบ ด้าน ศธ.เยียวยาให้ครูเบ็ญ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ ขอกลับไปทำงานที่เดิม

ปล่อยลูกเรืองประมงไทย

“ภูมิธรรม” ย้ำปล่อย 4 ลูกเรือประมงไทยวันนี้-ไม่มีเงื่อนไข

“ภูมิธรรม” ย้ำปล่อย 4 ประมงไทยวันนี้ โดยไม่มีเงื่อนไข ล่าสุดนำตัวมาที่เกาะสองแล้ว เชื่อหลังจากนี้จะมีมาตรการป้องกันการรุกล้ำน่านน้ำของสองประเทศ