กรุงเทพฯ 1 มี.ค.-แม็คโครเดินหน้าสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรท้องถิ่น ล่าสุดจับมือสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และผู้ประกอบการทำธุรกิจหมูหัน แก้ไขปัญหาราคาสุกรตกตํ่า ด้านผู้เลี้ยงหมู “อ้อน” รัฐ ขอขายหมูตามโครงสร้างต้นทุน หลังขาดทุนสะสม “อ่วม” จากหมูเถื่อน
แม็คโครแจ้งว่า นางเอกธิดา เสรีรัตน์วิภาชัย ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารสินค้าอาหารสด แม็คโคร หารือร่วมกับนายศรัณย์กร อัครวุฒิเมธากรณ์ หนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจหมูหัน ร่วมกันวางแนวทางในการเปิดตลาดค้าส่งหมูหันเพื่อผู้ประกอบการ แก้ไขปัญหาราคาสุกรตกต่ำ จากผลผลิตมากเกินความต้องการ โดยแม็คโคร เป็นโมเดิร์นเทรดรายแรกที่ก้าวเข้ามาแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
การดำเนินการ ครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรท้องถิ่น จับมือสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และผู้ประกอบการทำธุรกิจหมูหัน วางแผนรับซื้อลูกสุกรที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3-7 กก. สร้างตลาด “หมูหันเพื่อผู้ประกอบการ” ผ่านสาขาของแม็คโครที่มีอยู่ทั่วประเทศ ช่วยผู้เลี้ยงสุกรเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ด้านนายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 เกษตกรผู้เลี้ยงหมูคาดหวังว่าราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มจะปรับขึ้นสู่ระดับ 80 บาทต่อกิโลกรัม ช่วงก่อนตรุษจีนที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้เนื่องจากผลผลิตจากการฟื้นฟูฟาร์มหลังโรคระบาด ASF ออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับหมูเถื่อนยังถูกลักลอบระบายออกจากห้องเย็นมาสมทบกับผลผลิตหมูไทย ทำให้หมูล้นตลาดและกดราคาในประเทศจนต่ำกว่าต้นทุน เกษตรกรจึงต้องอยู่ในสภาพขาดทุนต่อเนื่อง ที่สำคัญหมูเถื่อนซึ่งมีผลต่อราคาตกต่ำในขณะนี้ ยังไม่สามารถปราบปรามให้หมดได้
นอกจากนี้ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในประกาศลดราคาแนะนำหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต่อเนื่องรวม 4 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ 64 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติปรับราคาคละสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มขึ้น 2 บาท อยู่ที่ 66 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากจะเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุนของเกษตรกรแล้ว ยังเป็นราคาที่ทำให้เกษตรกรขาดทุนสะสมเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่เกษตรกรต้องอดทนแบกขาดทุนสะสมมานานกว่า 11 เดือนแล้ว
“ผู้เลี้ยงหมูขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณานำกลไกตลาด มาเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรมด้านราคาให้กับทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ตามโครงสร้างต้นทุน เพราะต้นทุนเฉลี่ยของเกษตรกร 80-82 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับราคาประกาศของภาครัฐยังขาดทุนมาก” นายสุนทราภรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ หากแต่เกษตรกรยังต้องอยู่ในสภาพขาดทุนสะสมต่อเนื่องและราคาถูกกดให้ต่ำตลอดเวลาเช่นนี้ วงการหมูไทยคงไปไม่รอด ต้องมีคนออกจากอาชีพอีกจำนวนมาก โดย 2 ปีที่ผ่านมา วงการหมูไทยประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลกระทบมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.โรคระบาด ASF ทำให้ผลผลิตหายไป 50% 2.หมูเถื่อนระบาดทั่วประเทศ เข้าแทรกแซงกลไกตลาด กดราคาหมูไทย และ 3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นมากกว่า 30% แม้จะปรับลงบ้างก็ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงต้นทุนพลังงาน ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ เกษตรกร ยังมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงฟาร์มเพื่อป้องกันโรคเพิ่มขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาและอุปสรรคของคนเลี้ยงอย่างเป็นระบบและใช้กลไกตลาดในการปรับราคาให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกร และเร่งปราบปรามหมูเถื่อนให้หมดไป ซึ่งจะเป็นนโยบายที่สนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว.-511-สำนักข่าวไทย