เอกชนไม่ทนโรคใบด่างมันฯร้องรัฐเร่งแก้ด่วนหลังยอดส่งออกตก

กรุงเทพฯ 22 ก.พ.-สมาคมแป้งมันสำปะหลังร่วมกับมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยแถลงเป็นห่วงสถานการณ์ส่งออกมันสำปะหลังไทยที่ถูกโรคใบด่างระบาดต่อเนื่องจนยอดส่งออกลดลงทุกปี ชี้ปัญหาโรคใบด่างไม่มียาปราบต้องหาพันธุ์ทนทานมาปลูกแทน จึงอยากให้ภาครัฐช่วยหาทางแก้ไขด่วนก่อนที่ภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้


นายชุมพล ขจรเฉลิมศักดิ์ นายกสมาคมแป้งมันสำปะหลังและมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าทั้ง 2 องค์กรตระหนักถึงปัญหาโรคใบด่างของมันสำปะหลังไทยที่ก่อตัวแพร่ระบาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 61 โดยปัญหาก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเพาะปลูกมันสำปะหลังไปจนถึงปริมาณส่งออกทั้งมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แป้งมันลดน้อยลงอย่างน่าตกใจ โดยยอดพื้นที่เพาะปลูกมันสะปะหลังไทยมีอยู่กว่า 9 ล้านไร่ แต่จากผลกระทบใบด่างระบาดจนกระทบพื้นที่เพาะปลูกแล้วกว่า 3 ล้านไร่ และหากไม่เร่งแก้ไขพื้นที่เพาะปลูกมันจะลดลงต่อเนื่องได้

นอกจากนี้ ไม่เพียงกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกเท่านั้น ยังกระทบไปถึงยอดส่งออกมันสำปะหลังไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยยอดส่งออกมันสำปะหลังไทยในปี 66 ปริมาณลดลง 30 % คิดเป็นมูลค่าลดลงถึง 16.62 % หรือ 127,407 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 65 ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้ามันสำปะหลังลดลงมากถึง 20-30%หรือทำให้มูลค่าของอุตสาหกรรมลดลงไปแล้วประมาณ 50,000 ล้านบาท และอาจลดลงอย่างต่อเนื่องในปีต่อไปด้วย โดยมันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ มีเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังประมาณ 700,000 ครัวเรือน และก่อให้เกิดการจ้างงานในอุดสาหกรรมแปรรูปและอุต สาหกรรมต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นอันดับหนึ่งของโลกมากว่า 20 ปี โดยที่ผ่านมามีมูลค่าส่งออกสูงถึง 150,000 บาทต่อปี และการใช้ภายในอีกประมาณ 50,000 ล้านบาทต่อปี มูลค่ารวมทั้งอุดสาหกรรมมันสำปะหลังประมาณ 200,000 ล้านบาท และยังมีมูลค่าอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมากกว่า 300,000 ล้านบาท นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย และปัจจุบันอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย ต้องประสบกับภาวะวิกฤตขาดแคลนผลผลิต ไม่เพียงพอต่อความต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีการผลิตที่ผ่านมา ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยมีปริมาณลดลงจากในอดีตที่ได้ผลิตมากกว่า 30-33 ล้านตันต่อปี เหลือเพียงประมาณ 24-26 ล้านตันต่อปี อีกทั้งคุณภาพผลผลิตที่ลดลงด้วย ทำให้ตันทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้นอย่างมาก


“หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน และทำให้สินค้ามันสำปะหลังไทยไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโลกได้อีกต่อไปโดยผลผลิตมันสำปะหลังที่ลดลงนั้น มีสาเหตุสำคัญจากการระบาดของโรดใบด่างมันลำปะหลัง
ที่เป็นโรดอุบัติใหม่พบการระบาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2561 โดยมีสาเหตุจากเชื้อไวรัส
Cassava mosaic virus สายพันธุ์ Sri Lankan (SLCMV/ มีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรด และการนำ
ตันพันธุ์ที่เป็นโรดไปปลูกต่อ เกิดภาวะขาดแคลนต้นพันธุ์สะอาดปลอดโรค มีการใช้พันธุ์อ่อนแอต่อโรดและที่เป็นโรดอยู่แล้วไปปลูกขยายต่อ แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามแก้ไขปัญหา“นายชุมพล กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่สามารถกำจัดหรือควบคุมการระบาดได้สร้างความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลัง ซึ่งภาคเอกชนประเมินว่าพบการระบาดของโรดใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทยแล้วไม่น้อยกว่า 3 ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งประเทศประมาณ 9 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 30 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด หากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนไม่ลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ภาคเอกชนเชื่อว่าภายในระยะเวลาอันสั้น โรคใบด่างมันสำปะหลังจะระบาดไปในพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ สร้างความเสียหายและเกิดหายนะต่ออุตสาหกรรมอย่างใหญ่หลวง

ทั้งนี้ 2 องค์กรได้ตระหนักถึงภัยอันตราย ได้จัดทำปรับปรุงพันธุ์ต้นทานและการใช้วิธีการควบคุมโรคพืชรวมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สามารถคัดลือกพันรุ์ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลังชุดแรก 3 พันธุ์ และได้รับพระราชทานซื่อพันธุ์จาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัดนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ พันธุ์อิทธิ 1 พันธุ์อิทธิ 2 และพันธุ์อิทธิ 3 รวมทั้งยังมีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ลูกผสมต้านทานโรค เพื่อให้มีผลผลิตดีขึ้น แม้จะไม่สูงเท่ากับพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 แต่ทั้ง 3 พันธุ์ มีความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์เพื่อนำไป
ปลูกทดแทนในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค เพื่อช่วยยับยั้งการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผล โดยมีเป้าหมายให้เกิดการใช้พันธุ์ต้านทานให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศไทยภายในเวลา 5 ปี เพื่อให้ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง
ไทยทั้งระบบคงขีดความสามารถการแข่งขันที่ยั่งยืน ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลเร่งหามาตรการช่วยเหลือโดยจัดหาพันธุ์ที่ทนทานเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสะปะหลังกันต่อไป.-541-สำนักข่าวไทย


  1. โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease, CMD) เกิดจากเชื้อ Cassava
    Mosaic Virus ซึ่งเป็นไวรัสที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง โดยทำให้ใบด่าง ต้น
    แคระแกรน และผลผลิตลดลง พบการระบาคเข้าสู่เอเชียใต้ในประเทศศรีลังกาและอินเดีย และมี
    เพียงสายพันธุ์ SLCMV (Sri Lankan Cassava Mosaic Virus) ได้แพร่เข้าสู่ประเทศกัมพูชา
    ด้านจังหวัดรัตนคืรี เมื่อปี 2559 และประเทศเวียดนาม จังหวัดเตนินห์ ชายแคนเวียดนาม
    กัมพูชา ในปี2560 และแพร่เข้าสู่ประเทศไทยทางบริเวณจังหวัดชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้าน
    จังหวัดศรีสะเกษ บุรี รัมย์ และปราจีนบุรี เมื่อปี 2561
  2. มูลนิธิฯ ตระหนักถึงอันตรายของโรคใบค่างมันสำปะหลังนี้ ตั้งแต่ปี 2559
    จึงได้ร่วมกันเผยแพรถึงอันตราย และผลกระทบที่จะเกิดต่อการผลิตมันสำปะหลังของประเทศ
    และย้ำถึงการแก้ไขการระบาคของโรคใบค่างในฟริกาและเอเชียใต้ว่า โรคใบด่างมันสำปะหลังนี้
    ไม่มียารักษา ไม่มีมาตรการใดแก้ไขได้นอกจากต้องใช้พันธุ์ต้านทานโรคใบด่างที่เหมาะสมมา
    เปลี่ยนให้เกษตรกรปลูกทั่วประเทศ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    จากการประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก มูลนิธิฯ ได้ทำโครงการวิจัยพัฒนาพันธุ์
    ต้านทาน CMD ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี 2560 และได้รับความร่วมมือจากศูนย์
    เกษตรเขตร้อนนานาชาติ (Centro Internacional de Agricultura Tropical, CIAT) และสถาบัน
    เกษตรเขตร้อนนานาชาติ (International Institute of Tropical Agriculture, IITA) และได้นำสาย
    พันธุ์ต้านทาน CMD จาก ITA เข้ามารวม 5 สายพันธุ์ ในปี 2561 เพื่อทคลองปลูก โดยผ่านการ
    ตรวงควบคุมโรคพืชของกรมวิชาการเกษตร ผลการทคสอบในช่วงปี 2561-2566 งได้คัดเลือก
    สายพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรดใบด่างระดับสูง (ตารางที่ 1 และ 2) และเหมาะแก่การปลูกใน
    ประเทศไทย จำนวน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ TME B419, IITA-TMS-IBA980581 และ
    ITA-TMS-IBA920057 และ โครงการฯ ได้มอบต้นพันธุ์ของทั้ง 3 สายพันธุ์ จำนวน 17,000 ลำ
    ให้แก่มูลนิธิฯ ในเดือนมีนาคม 2566
ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.เรือนจำทักษิณป่วย ไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน  

13 มิ.ย. – ศาลฎีกาฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ “ทักษิณ” เข้ารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นัดไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด เดือน ก.ค.68 ด้าน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ยอมรับไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนคดีชั้น 14 ในเรื่องการบังคับคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ล่าสุดการไต่สวนนัดแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลได้สอบถาม นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบัน เกี่ยวกับกระบวนการในการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งนายทักษิณ มีอาการแน่นหน้าอก นอนไม่หลับ พยาบาลเวรตรวจอาการแล้ว ถึงโทรไปหาแพทย์ และมีความเห็นให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน และอาการก็ตรงกลับใบส่งตัวที่แพทย์เขียนไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้เข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน จากนั้นศาลได้นัดไต่สวน 6 นัด ในเดือนกรกฎาคม 2568 และใน […]

เครื่องบินแอร์อินเดีย ตกใส่อาคารที่พักแพทย์ ตาย 241 รอดคนเดียว

นิวเดลี 13 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประสบอุบัติเหตุตกใส่อาคารในย่านชุมชนทางตะวันตกของประเทศ มีผู้เสียชีวิต 241 ราย รอดชีวิตปาฏิหาริย์เพียงคนเดียว ยังไม่มีการยืนยันว่ามีคนในอาคารบ้านเรือนเสียชีวิตเท่าไร เครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลน์เนอร์ ของสายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบิน เอไอ171 (AI171) พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประกอบด้วยผู้โดยสาร 230 คน และลูกเรือ 12 คน เพิ่งจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดียเมื่อเวลา 13.34 น. วานนี้ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานแกตวิค กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คนบนเครื่องบินเป็นชาวอินเดีย 169 คน และมีพลเมืองอังกฤษ 53 คน โปรตุเกส 7 คน และแคนาดา 1 คน คลิปที่ผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ในอินเดียส่งต่อกันแพร่หลาย เผยให้เห็นช่วงเวลาขณะที่เครื่องบินโดยสารลำนี้เครื่องบินค่อยๆ […]

แพทยสภายืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย

กทม. 12 มิ.ย.- แพทยสภามีมติ 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย ปมส่งตัว “ทักษิณ” รักษาชั้น 14 รพ.ตร. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เปิดเผยหลังการประชุมการลงมติแพทยสภากว่า 5 ชม. ว่า กรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ประจำเดือนมิถุนายน คือวันนี้ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาหนังสือยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษ วาระนี้มีคณะกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการฯ ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งคณะ ซึ่งมีคะแนนโหวตมากกว่า 60 เสียง ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ คาดว่าคำสั่งจะออกได้ในวันพรุ่งนี้ และจะมีผลการลงโทษหลังจากคำสั่งไปยังผู้ถูกร้องเรียน ทั้งนี้ […]

“ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน

ฉะเชิงเทรา 12 มิ.ย. – “ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน จ.ฉะเชิงเทรา พบกองขยะอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนเครื่องยนต์นำเข้ากองเต็มพื้นที่ ฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานฯ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าทีมสุดซอย พร้อมเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด และตำรวจสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลใน อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการขยายผลจากข้อมูลที่ผู้ใหญ่บ้าน ต.เขาหินซ้อน อ้างว่ามีบริษัทคัดแยกขยะอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้นำดินไปแจกฟรี แต่กลับพบว่าเป็นขยะอุตสาหกรรม จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทแห่งนี้จะรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษสายไฟ วัสดุแบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านบริษัทแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง โดยบริษัทดังกล่าวรับซื้อเศษขยะมาจากญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ก่อนส่งมาที่โรงงานรีไซเคิลในไทยให้คัดแยก แต่สำแดงเป็นโลหะผสม (Mixed metal) และมีการเสียภาษีต่อเที่ยวตามน้ำหนัก รวมแล้วประมาณ 33,000 บาท การคัดแยกขยะจะใช้แรงงานต่างด้าวคัดแยกเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดงออก โดยในส่วนของเหล็ก จะส่งโรงเหล็กในประเทศ สำหรับอะลูมิเนียมกับทองแดง จะส่งกลับไปฮ่องกง เพื่อขายต่อ โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นเศษโลหะ อีกทั้งยังมีกองขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปใช้งานต่อได้จำนวนมากถูกทิ้งไว้ในประเทศ โรงงานดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2558 แต่ก่อนหน้านี้พบว่ามีการขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดเก็บวัสดุไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน คือกองอยู่ลานโล่งด้านนอกอาคาร ปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบกิจการ และการปล่อยน้ำเสีย […]

ข่าวแนะนำ

ไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนฟ้าคะนอง

กทม. 15 มิ.ย.-กรมอุตุฯ รายงานไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “หวู่ติบ” มีศูนย์กลางอยู่บริเวณมณฑลกว่างซี ประเทศจีน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง […]

แฟนนางงามแห่ต้อนรับ “โอปอล” กลับไทยสุดอบอุ่น

กรุงเทพฯ 14 มิ.ย. – แฟนนางงามแห่รับ “โอปอล สุชาดา” Miss World 2025 กลับไทยสุดอบอุ่น ก่อนขึ้นรถแห่ฉลองทั่วกรุง “โอปอล” สุชาตา ช่วงศรี มิสเวิลด์ 2025 เดินทางกลับถึงไทย ด้วยเที่ยวบิน TG603 ร่วมงาน ‘Home Coming 72nd Miss World 2025’ ท่ามกลางการต้อนรับสุดอบอุ่นจากแฟนนางงามแน่นสนามบินสุวรรณภูมิ โอปอล กล่าวขอบคุณคนไทย และบอกว่ามงกุฎนี้เป็นของพวกเราทุกคน ตั้งเป้าใช้ตำแหน่งเพื่อช่วยเหลือสังคม หลังจบพิธี โอปอลขึ้นรถโรลส์-รอยซ์เปิดประทุน โบกธงชาติไทย มุ่งหน้าท้องฟ้าจำลอง ร่วมขบวนแห่ฉลองชัยมิสเวิลด์คนแรกของประเทสไทยอย่างสมเกียรติ บรรยากาศที่ท้องฟ้าจำลองมีประชาชนมารอต้อนรับโอปอล บรรดาแฟนนางงามต่างแสดงสัญลักษณ์ด้วยการใส่ชุดสีฟ้า บางคนมีการทำมงกุฎ Miss World มาใส่ และทันทีที่รถของโอปอลเลี้ยวเข้ามายังท้องฟ้าจำลอง มีการโห่ร้องต้อนรับอย่างอบอุ่น ส่วนแรงบันดาลใจในการทำรถขบวนแห่ของ Miss World 2025 นี้ นายธีรฉัตร อินถา ผู้ออกแบบขบวน ระบุว่า ได้มีการนำวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างสากลและวัฒนธรรมไทย […]

ประชุม JBC วันแรกเป็นไปด้วยดี สองฝ่ายหารือตรงไปตรงมา

14 มิ.ย.- โฆษก กต. เผยการประชุม JBC “ไทย-กัมพูชา” บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ทั้งสองฝ่ายหารือกันอย่างตรงไปตรงมา พร้อมย้ำไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก สำหรับการประชุมจะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา หรือ JBC ครั้งที่ 6 ว่าตั้งแต่เมื่อเช้า หลังจากคณะผู้แทนไทยฯ ที่นำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เดินทางถึงกรุงพนมเปญเมื่อวานนี้ ได้รับรายงานความคืบหน้ามาเป็นระยะ และเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้เรียกประชุมผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ขอให้เรียกประชุมและรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ เพื่อจะได้มีข้อสั่งการ นายนิกรเดช กล่าวว่า การประชุมเริ่มจากที่พบหารือระหว่างสองประธานไทย-กัมพูชา กลุ่มเล็ก จากนั้นได้เริ่มการประชุม JBC เต็มคณะ เพื่อหารือประเด็นทางเทคนิค ที่อยู่ในขอบเขตการทำงานของ JBC เช่นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสำรวจภูมิประเทศ ขณะนี้การประชุมก็ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งช่วงบ่ายก็จะเป็นการหารือตามระเบียบวาระที่วางไว้ เช่นการพูดคุยด้านเทคนิค และคาดว่าจะมีการประชุมไปจนถึงวันพรุ่งนี้ บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี และทั้งสองฝ่ายกำลังเดินหน้าหารือกันตามวาระ ถือว่าการประชุมเป็นไปด้วยดี ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าคุย และปรับความคิดหากันด้วยดี ฝ่ายไทยหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะมีส่วนช่วยลดความ ตึงเครียดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น […]

ประชุม JBC “ไทย-กัมพูชา” ยึด MOU43 แก้ปมชายแดน-ลดตึงเครียด

14 มิ.ย.- “ไทย-กัมพูชา” แถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC เจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกัน และการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบ MOU43 นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เป็นประธานการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) ร่วมกับนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายกล่าวถ้อยแถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในการเจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกันและการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 43) เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชายแดนและลดความตึงเครียดที่มีอยู่ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กรมแผนที่ทหาร กองทัพบก กองทัพเรือ สำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา (เทียบเท่ากระทรวง) กระทรวงกลาโหมกัมพูชา กองทัพภาคต่าง ๆ ของกัมพูชา รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาของกัมพูชาทุกจังหวัด -สำนักข่าวไทย