ร้องอธิบดี DSI เอาผิดกองทุนถึงคุกแบบวนรัชต์ ฐานผลาญเงินมนุษย์เงินเดือน LTF ไปกับหุ้น STARK

กรุงเทพฯ 13 ก.พ. – มนุษย์เงินเดือนลงทุนผ่าน LTF ไม่ทน ยื่นหนังสือ DSI ให้รับคดีกองทุนผลาญเงินไปกับหุ้น STARK เป็นคดีพิเศษ หลังจากร้องทุกข์กลต.ผ่านไปครึ่งปีเรื่องเงียบ โอดกองทุนซื้อหุ้นเจ้าปัญหายอดดอย แต่มาขายยอดหญ้าขาดทุนยับนับ 3,500 ล้านบาท ราคากองทุนติดลบหนักที่สุดกว่ารายอื่น ส่งผลขาดความเชื่อมั่น ประชาชนหวั่นผวาไม่กล้าซื้อหน่วยลงทุนประหยัดภาษี ตลอดจนขอให้กลต. ร่วมมือด้วย


เมื่อเวลา09.30 น.วันนี้(13กุมภาพันธ์)ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กลุ่มผู้ถือหน่วยลงทุนที่เสียหายจากการลงทุนในกองทุนแห่งหนึ่งที่ได้ลงทุนในหุ้นSTARK ได้เข้าพบร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการอธิบดีกรมDSI ให้รับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษ และให้ดำเนินคดีต่อกองทุน ผู้บริหาร ผู้จัดการกองทุนฐานกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 และกฎหมายอาญามาตรา343 ฐานฉ้อโกง และมาตรา 353 ฐานยักยอกทรัพย์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

ทางด้านพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรม DSI กล่าวหลังจากรับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายว่า DSI ไม่ได้นิ่งนอนใจในกรณี STARK ได้รับเรื่องไว้เป็นคดีพิเศษ ดำเนินคดีอย่างจริงจังต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวานนี้เพิ่งแจ้งความดำเนินคดีและควบคุมตัวนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ควบคุมตัวไว้ในเรือนจำระหว่างการพิจารณา ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้เสียหายจากกองทุนมาร้องทุกข์ให้เป็นคดีพิเศษนั้น ในชั้นต้น DSI จะรับหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ และเริ่มตรวจสอบว่ากองทุนดังกล่าวมีพฤติการณ์ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ รับเงินทอน ซื้อขายหุ้นโดยทุจริตและทำให้ประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหาย เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ หากเข้าข่ายก็พร้อมรับเป็นคดีพิเศษต่อไป ส่วนการที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกร้องเรียนว่ามีการกระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วยนั้น และกลุ่มผู้เสียหายเคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับก.ล.ต.มาแล้วนั้น ทางDSIก็คงจะได้ประสานงานกับทางก.ล.ต.ต่อไป เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรง แต่ DSI ก็พร้อมอำนวยความยุติธรรมในกรณีที่ก.ล.ต.จะประสานงานมาในความผิดเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.หลักทรัพย์


นายสิทธา (ขอสงวนนามสกุล) 1 ในตัวแทนผู้เสียหายยื่นหนังสือร้องทุกข์ ต่อกับอธิบดี DSI ระบุรายละเอียดในหนังสือว่า กลุ่มผู้เสียหายหลายหมื่นคนที่ลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษี(LTF) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมแห่งหนึ่ง เพราะเชื่อมั่นว่า มีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของประเทศเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อหวังจะนำไปใช้ประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษี และออมลงทุนไว้เป็นเงินใช้จ่ายยามเกษียณต้องมาเสียหายอย่างหนักจากการกระทำผิดกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหา โดยได้เคยรวมตัวกันไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 บัดนี้เวลาผ่านมาครึ่งปี เรื่องเงียบหาย แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ของกองทุนคู่กรณีติดต่อเกลี้ยกล่อมมาทางโทรศัพท์แทน เมื่อหมดที่พึ่งจึงมาร้องทุกข์ต่ออธิบดีDSI เพราะเห็นว่ามีผลงานดำเนินคดีกรณี STARK ไม่ไว้หน้าใคร ล่าสุดออกหมายจับดำเนินคดีนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่STARKส่งตัวไปเรือนจำ ทำให้เกิดความหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมบ้าง จึงมาร้องทุกข์ต่ออธิบดีDSI

ตัวแทนผู้เสียหายบรรยายในหนังสือร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีว่า ข้าพเจ้าและคณะ รวมทั้งประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ขอให้DSIรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ เพราะมีความเสียหายวงกว้างต่อประชาชนนับหมื่น ความเสียหายนับหมื่นล้านบาท และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง และขอให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้จัดการกองทุน คณะผู้บริหาร และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมดังกล่าว(ขอสงวนชื่อในเอกสารแถลงข่าว) ในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 เนื่องจากผู้กระทำความผิด ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ  ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนั้นเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญามาตรา 341 ผู้โดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปี ปรับไม่เกิน6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา343 กระทำผิดด้วยการแสดงข้อความอั้นเป็นเท็จต่อประชาชน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน5ปี ปรับไม่เกิน1แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


และกระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปี หรือปรับไม่เกิน6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กับขอให้DSI เป็นตัวแทนข้าพเจ้าและประชาชนผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อในกรณีเดียวกัน หรือทำนองเดียวกันดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดให้เยียวยาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งอีกด้วย

ทั้งนี้ข้าพเจ้า และประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ ประสบผลขาดทุนในการลงทุนเฉพาะปี2566ที่เกิดเหตุลบ 21.93% ซึ่งข้าพเจ้า และประชาชน ต่างเข้าใจข้อจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนผ่านกองทุนรวมดีว่า การลงทุนย่อมมีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายดังกล่าวในกรณีนี้ ไม่ได้เป็นไปตามสภาพการลงทุนตามปกติวิสัย แต่มาจากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว ดังต่อไปนี้

1.ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลงทุนหน่วยลงทุนLTFผ่านกองทุนดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการประหยัดภาษี และเก็บออมสำหรับวัยเกษียณอายุ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าบลจ.นี้มีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของประเทศ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีฐานะมั่นคงแข็งแกร่ง แต่การณ์กลับปรากฎว่าผลงานการลงทุนต่ำกว่ากองทุนประเภทเดียวกันอย่างชัดเจน กองทุนนี้มีผลดำเนินงานงวดรอบ 1 ปีลบ 21.93% (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกัน ลบเพียง 0.49 เนื่องจากกองทุนนี้ไปลงทุนในหุ้นของบมจ.สตาร์คคอร์ปอเรชั่น- STARKไว้มาก และกระทำผิดกฎหมาย มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีการกระทำผิดในด้านความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และผิดกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงและยักยิกทรัพย์

2. ผู้กระทำความผิดยังบังอาจกระทำผิดกฎหมายอาญา โดยได้มีพฤติการณ์ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อข้าพเจ้า และผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย โดยจะเห็นได้จากกองทุนนี้ได้เข้าไปลงทุนหุ้นของบมจ.STARK เอาไว้มากถึง 916 ล้านหุ้น ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2565 โดยมีราคาต้นทุนตั้งแต่3.72บาท ไปถึง5 บาท ต่อมาเมื่อเกิดปัญหา STARK ยกเลิกดีลการซื้อกิจการบริษัท LEONI ประเทศเยอรมนีในเดือนธันวาคม 2565 แล้ว กองทุนอื่นๆ ต่างพากันเทขายหุ้น STARK ออกเพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามแผนงาน และอาจกระทบต่อผลดำเนินงานได้ แต่กองทุนนี้กลับถือครองหุ้นเอาไว้จำนวนมาก กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พักการซื้อขาย 4 เดือน มาเปิดให้ซื้อขาย1เดือนสุดท้าย ระหว่างวันที่ 1 ถึง 30มิถุนายน 2566 ทางผู้กระทำผิดก็ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อผู้ถือหน่วยลงทุนว่า เหลือหุ้นในมือเพียงเล็กน้อย

แต่ต่อมาผู้กระทำผิดได้แจ้งต่อสำนักงานก.ล.ต.ในวันที่ 23 และ 27 มิถุนายน 2566 ว่า ยังคงถือครองหุ้นไว้มากถึง 670 ล้านหุ้น และได้ขายออกไปหมด ก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่ตลาดฯให้ซื้อขายได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ซึ่งช่วงดังกล่าวราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับราคา 1 ถึง 4 สตางค์ ก็จึงน่าจะเหลือมูลค่าที่ขายได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท จากต้นทุนที่มีอยู่ราว 3,850 ล้านบาท ประมาณการณ์ว่าคงจะขาดทุนสุทธิมากกว่า 3,500ล้าน

3.ผู้กระทำผิด ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เห็นได้จากแถลงการณ์ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2566 ว่า”..บริษัทได้ส่งทีมนักวิเคราะห์เข้าชมโรงงาน  Phelps Dodge ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STARK เพื่อประเมินความสามารถในการดําเนินกิจการ โดยประเมินเบื้องต้นว่าบริษัทยังคงสามารถดําเนินกิจการได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด และ รอการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่ผ่านการรับรองโดยผู้สอบบัญชีในวันที่ 16 มิถุนายน 2566  เพื่อใช้ประเมินการลงทุนในหุ้น STARK ต่อไป”

ซึ่งในความเป็นจริงปรากฏว่าผู้กระทำผิด ขาดความระมัดระวังในการรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เพราะขณะที่บลจ.อื่นๆแจ้งว่าได้ขายหุ้นSTARKออกไปหมดแล้ว แต่ผู้กระทำผิดยังคงถือครองหุ้นไว้จำนวนมากถึง670ล้านหุ้น และได้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จตามข้อ2 และยังขาดความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เพราะยังเห็นว่ากิจการSTARKยังจะสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด และยังถือครองหุ้นไว้จำนวนมาก จนท้ายที่สุดต้องขายออกไปในราคาที่แทบจะสิ้นมูลค่าแล้ว อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายทุจริต ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ

4.ผู้กระทำผิดยังมีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าอาจจะมีการทุจริต โดยทำการซื้อขายหุ้นที่ไม่โปร่งใส ผิดจากวิสัยของการบริหารกองทุนโดยทั่วไป โดยทำการไล่ซื้อราคา STARK ในราคาสูง ปริมาณมาก กระจุกตัว และยังซื้อกระจุกตัวในหุ้นเครือSTARKอีกหลายตัว ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ในเครือเดียวกับSTARK เช่น บมจ.TOA และDPAINT เป็นต้น ซึ่งผิดจากปกติวิสัยของการลงทุน

5.นอกจากนั้นยังพบด้วยว่าผู้กระทำผิดได้มีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่สุจริตและมีความขัดแย้งทางผลประโยนชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนหลายกรณี เช่น การเข้าไปลงทุนหุ้น SKY แบบซื้อบิ๊กล็อตราคา 30.25 บาท ตอนที่มีการไล่ราคาหุ้นขึ้นไปเพียงแค่2เดือน ทั้งที่ราคาทรงๆ ตัวอยู่เขต 10 บาทนานเป็นปี แต่ไม่ยอมลงทุนซื้อตอนราคาหุ้นถูกๆ หรือซื้อบิ๊กล็อต หุ้น ADD ตอนมีการไล่ราคาขึ้นไป30บาท แล้วมาตัดขายขาดทุนที่ 10 บาท หรือพฤติกรรมไล่ราคาซื้อหุ้นSAMART SAMTEL ในราคา 30 ถึง 45 บาท เมื่อปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปทางลบอย่างมีนัยยะสำคัญ ก็ไม่ปรับพอร์ตใดๆ เพิ่งจะมาขายตัดขาดทุนแถวราคา3ถึง5บาทในต้นปีนี้ ทั้งที่กิจการกำลังฟื้นตัว

อันเป็นพฤติการณ์กระทำผิด กฎหมายพรบ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา124/1 และกฎหมายอาญามาตรา 343 และมาตรา353 ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ  และอาจกระทำผิดต่อมาตราอื่นๆของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ

ข้าพเจ้าและประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ เคยเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ได้โปรดอำนวยความยุติธรรมในฐานะเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และกอบกู้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับมาสู่ตลาดทุนโดยไว ด้วยการดำเนินการสืบสวนสอบสวน และเป็นตัวแทนของข้าพเจ้าและประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนท่านอื่นๆ ที่เป็นเหยื่อประสบความเสียหายในกรณีทำนองเดียวกัน แต่เวลาผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด สำนักงานก.ล.ต.ไม่เคยสอบถามข้อมูลใดๆจากข้าพเจ้าและผู้สียหายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าและประชาชนผู้เสียหายจึงเกรงว่า จะไม่ได้รับความยุติธรรม จึงหวังให้ DSI รับเป็นคดีพิเศษ.- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย