กรุงเทพฯ 22 ม.ค.-บัญชีจุฬาฯ (CBS) ร่วมกับ WEF เผยผลการประเมินอนาคตการเติบโตของประเทศต่างๆ ทั่วโลก The Future of Growth Report 2024 พบไทยอยู่อันดับ 51 มีอัตราการเติบโตในระดับน่าเป็นห่วง KKP มองโครงสร้างประชากรกำลังลดลง รายได้ต่ำ “แก่ก่อนรวย” ด้าน SCB EIC ชี้ Easy e-receipt กระตุ้นการใช้จ่ายไม่สูงตามคาด
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) ร่วมกับWorld Economic Forum (WEF) ในการจัดทำและเผยแพร่รายงานอนาคตการเติบโต The Future of Growth Report 2024 เพื่อวัดคุณภาพการเติบโตของประเทศต่างๆ พบว่าประเทศไทยการเติบโตอยู่ค่อนไปทางครึ่งหลังของโลก โดยควรเร่งพัฒนาด้านความยั่งยืน ความเหลื่อมล้ำของรายได้ และกฏหมายคุ้มครองอย่างเต็มกำลัง การนำเสนอรายงานในครั้งนี้แสดงให้เห็นข้อมูลระดับประเทศที่ช่วยให้ผู้มีส่วนกำหนดนโยบายและทิศทางในการพัฒนาการเติบโตของประเทศจาก 4 มิติ ที่สำคัญต่อการเติบโตของประเทศ ซึ่งจะเป็นเข็มทิศในการกำหนดแนวทางนโยบาย และกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างการเติบโตที่มีทั้งในด้านนวัตกรรม ด้านความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความยั่งยืน และด้านยืดหยุ่นให้ดียิ่งขึ้นไป
นายวิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) กล่าวว่า ผลสำรวจครอบคลุม 107 ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 51 ในขณะที่อันดับหนึ่งในโลกได้แก่ประเทศ สวีเดน และตามด้วยสวิสเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ส่วนในแถบประเทศเอเชีย ญี่ปุ่นนำโด่งในลำดับที่ 11 ตามด้วยเกาหลี (12) และสิงคโปร์ (16) ในขณะที่ มาเลเซียลำดับที่ 31 เวียดนาม 36 อินโดนีเซีย 50 และไทยลำดับ 51 จากคะแนนรวมที่ถ่วงน้ำหนักทั้ง 4 มิติ ได้แก่ด้านนวัตกรรม (Innovativeness) ด้านความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐาน (Inclusiveness) ความยั่งยืน (Sustainability) และความยืดหยุ่น (Resilience)
โดยจากการเปรียบเทียบผลประเมินของประเทศไทย พบว่าประเทศไทยมีคะแนนด้านนวัตกรรม(Innovativeness) เท่ากับ 47.94 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก (45.2) สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นของไทยในการเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรม ,ด้านความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐาน (Inclusiveness) ประเทศไทยได้คะแนน 55.66 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลก (55.9),ด้านความยั่งยืน (Sustainability) คะแนนของประเทศไทยเท่ากับ 40.84 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (46.8) จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องมีการเร่งดำเนินการเพื่อพัฒนาด้านความยั่งยืนของไทยให้เพิ่มมากขึ้น
ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Resilience) ซึ่งแสดงถึงการปรับตัวต่อผลกระทบต่างๆ คะแนนของประเทศไทยเท่ากับ 51.5 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (52.75) เล็กน้อย สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีความสามารถในการตอบสนองและฟื้นฟูจากวิกฤติต่างๆ ได้พอประมาณ และควรมีการพัฒนาในด้านนี้ต่อไป
“ประเทศไทยควรเร่งเพิ่มขีดความสามารถในทุกด้าน แม้ว่าด้านนวัตกรรมจะทำได้ดีแต่ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาในด้านต่างๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านความยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างคุณภาพของการเติบโตของประเทศให้ดียิ่งขึ้น”นายวิเลิศกล่าว
รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของโลกอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งคาดว่าจะลดลงสู่อัตราที่ต่ำที่สุดในรอบสามทศวรรษภายในปี ค.ศ. 2030 ดังนั้น การมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพของประเทศต่างๆ จึงมีความสำคัญต่อการรับมือกับ ความท้าทายที่หลากหลายนี้
ด้านนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวในเวทีเสวนา หัวข้อ “เศรษฐกิจไทย..เปลี่ยนอย่างไรให้ไปไกลกว่าเดิม” ในงาน สัมมนาแฟล็กชิป ประจำปี 2024 ว่า เศรษฐกิจไทย ในช่วงโควิด-19 เติบโตเฉลี่ยแค่ 3% และหลังโควิด ก็คาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่กลับพบว่าเศรษฐกิจไทยไม่สามารถกลับไปเติบโตได้เหมือนเดิม ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอาจจะโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ที่ไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้ ความสามารถในการแข่งขันลดลง และมีการขาดดุลการค้า เช่น ต้องมีนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก รวมถึงการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นต้น
ปัญหาสำคัญ คือ โครงสร้างประชากรกำลังลดลง ระดับรายได้ต่ำ แก่ก่อนรวย และคุณภาพการศึกษาไทย โดยเฉพาะเรื่องคะแนน PISA ตกต่ำตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนในโครงการใหญ่ๆ หายไปเกือบ 3 ทศวรรรษ เหมือนไทยกำลังกินบุญเก่าอยู่ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น ปัญหาหนี้ครัวเรือน ถ้าเศรษฐกิจโตช้าไปเรื่อยๆ ปัญหาเหล่านี้ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น
ด้านนายสันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองประเทศไทยว่า เปรียบเสมือนนักกีฬาสูงวัย ทั้งอายุและอาการ และความสามารถดึงดูดการแข่งขันน้อยลง แต่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ล้มหนัก เนื่องจากระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยยังเข้มแข็ง รวมถึงปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจแบบช่วงต้มยำกุ้งไม่น่าจะเกิดขึ้น ประเทศไทยต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานการลงทุน ต้องเน้นคุณภาพ เช่น ด้านดิจิทัล และพลังงานสะอาด เพราะโครงสร้างประชากรสูงวัยมากขึ้น
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2567 แรงส่งหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชน ตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้น มาตรการลดค่าครองชีพ และโครงการ Easy e-receipt กระตุ้นการใช้จ่าย ทั้งนี้ ผลบวกของโครงการนี้อาจไม่มากเท่าในอดีต เนื่องจากเงื่อนไขจำกัดเฉพาะร้านที่ออก e-Tax Invoice ได้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นต่อเนื่อง และการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ สอดคล้องกับการผลิตบางอุตสาหกรรมที่เริ่มฟื้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์
สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยยังน่ากังวล สอดคล้องกับผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า กลุ่มคนรายได้น้อยเผชิญปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้นหลังวิกฤตโควิด และยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายอยู่มาก โดยผู้มีรายได้น้อยกว่า 1 ใน 3 ประกอบอาชีพอิสระ/รับจ้างทั่วไป ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแรงงานนอกระบบที่รายได้ไม่มาก และเข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม ประกอบกับกลุ่มนี้มีวิธีบริหารจัดการหนี้ที่ยังไม่ดีนัก จึงพึ่งพาหนี้นอกระบบสูง และมีแนวโน้มติดอยู่ในวงจรหนี้อีกนาน.-511-สำนักข่าวไทย