กรุงเทพฯ 11 ม.ค.-ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนธ.ค. 66 ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 จากแรงหนุนมาตรการภาครัฐผ่านลดค่าไฟฟ้า น้ำมันและอื่นๆ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยยังลดต่อเนื่อง เหตุจากกังวลปัญหาสงครามอิสราเอลและฮามาสเริ่มกลับมารุนแรงขึ้น และปัญหาขาดสภาพคล่องที่อยากให้รัฐบาลหาแนวทางสนับสนุน
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจกล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนธันวาคม 66 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลและรัฐบาลจัดทำนโยบายลดค่าครองชีพโดยลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน ตลอดจนมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ นอกจากนี้ผู้บริโภคเห็นว่าการเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคตหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้วการเมืองต่างๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกันโดยที่ความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะคลี่คลายลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลาย ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลง และมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 56.0 58.7 และ 71.3 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ทุกรายการ เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนพฤศจิกายน ที่อยู่ในระดับ 55.1 57.6 และ 69.9 ตามลำดับ แสดงว่า ผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้หลังมีการจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาพลังงานและค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งนี้ การปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ที่ปรับตัวจากระดับ 60.9 เป็น 62.0 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 46 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าค่าครองชีพสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กับอิสราเอลกับฮามาสในปาเบนไตน์อาจยืดเยื้อ ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 จากระดับ 44.6 เป็น 45.4 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เช่นเดียวกัน โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 68.7 มาอยู่ที่ระดับ 69.9 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม แสดงว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วในปี 2567 ภายใต้นโยบายที่ได้ประกาศไว้ ดังนั้น สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลใจเกี่ยวกับส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้และฝากนั้น โดยดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ถือว่าเป็นดอกเบี้ยในจุดสมดุล สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ สอดคล้องกับดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 0.50-1 ดอกเบี้ยเงินออมระยะยาวและหุ้นกู้อยู่ที่ร้อยละ 3 เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมต่อความมั่นคงของประเทศ โดยหากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในเร็วๆนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาให้มีความเหมาะสมกันได้ต่อไป
นอกจากนี้ แต่ยังสวนทางกับความคิดเห็นของภาคธุรกิจ จากสมาชิกหอการค้าไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศ ที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือนธันวาคม 2566 ที่ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 19 เดือน อยู่ที่ระดับ 54.7 ตามค่าดัชนีที่ลดลงในทุกภูมิภาค เนื่องจากภาคธุรกิจกังวลปัญหาสงครามในอิสราเอล และกังวลสถานการณ์ในอนาคต ทั้งภัยแล้ง ปัญหา PM2.5 ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ปัญหาขาดสภาพคล่อง ปัญหาการเบิดจ่ายเงินงบประมาณปี 67 ล่าช้า และมองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังน้อยเกินไป ทำให้เศรษฐกิจยังโตไม่โดดเด่น แต่ยังเกินระดับค่ากลาง 50 ติดต่อกัน 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 66 แสดงว่ายังมองเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปเป็นต้น.-514-สำนักข่าวไทย