กรุงเทพฯ 10 ม.ค.- รมช. เกษตรฯ เผย โมเดิร์นเทรดร่วมมือในการปรับขึ้นราคาจำหน่ายชิ้นส่วนหมู จากเดิมที่ตั้งราคาต่ำ จนกดราคาหมูตัวหน้าฟาร์ม พร้อมมอบหมายให้กรมปศุสัตว์ประสานกับกรมการค้าภายในภายใต้กลไกคณะทำงานรักษาเสถียรภาพราคาสุกรของพิกบอร์ดเร่งหามาตรการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว วันนี้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประกาศราคาหมูหน้าฟาร์มขึ้นอีก 2 บาท หลังส่งหนังสือแจ้งโมเดิร์นเทรด ขอความร่วมมือปรับฐานราคาเพื่อลดการขาดทุนของผู้เลี้ยงรายย่อย
นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ได้รับรายงานถึงราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตามประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติว่า ในวันนี้ (10 มกราคม 2567) ปรับขึ้น 2 บาทจากสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดเวทีหารือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กลุ่มเกษตรกรรายย่อย ผู้เลี้ยงรายใหญ่ และรวมถึงโมเดิร์นเทรด เพื่อขอความร่วมมือให้โมเดิร์นเทรดในการปรับขึ้นราคาจำหน่ายชิ้นส่วนสุกรในราคาที่เหมาะสม โดยไม่ต่ำเกินไปเนื่องจากทำให้เกิดการกดราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม จนทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่ารายย่อยประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ประสานกับกรมการค้าภายในภายใต้กลไกคณะทำงานรักษาเสถียรภาพราคาสุกรของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (พิกบอร์ด) เพื่อหามาตรการรักษาเสถียรภาพราคาในระยะยาวตามแนวทางดังนี้
1. จัดทำ Big data ของอุตสาหกรรมการผลิตสุกร เช่น ข้อมูลฟาร์ม/ โรงฆ่า/ จำนวนสุกร การขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยง/ พ่อค้าคนกลาง เป็นต้น
2. ดำเนินการปราบปรามสุกรเถื่อนทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำเข้า/ ห้องเย็น/ สถานที่จำหน่าย
3. การขับเคลื่อนและผลักดันการส่งออกสุกรมีชีวิต ซากสุกร และอื่นๆ เพื่อระบายสุกรส่วนเกินออกจากระบบ
4. วิเคราะห์ข้อมูลและปรับสมดุลการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภค โดยยึดหลักตลาดนำการผลิต
5. การส่งเสริมการแปรรูป ดึงปริมาณเนื้อสุกรออกจากตลาด มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์
6. การรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการบริโภคผลผลิตจากสุกร
7. การจัดตั้งกองทุนพัฒนาสุกรเพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิตสุกร
สำหรับมาตรการร่วมกันระหว่างกรมปศุสัตว์และกรมการค้าภายในในการกำหนดราคาสินค้าสุกร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยให้สามารถขายสินค้าสุกรในราคาที่เป็นธรรมนั้น จะลดปัญหาการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง แต่ะจะไม่กระทบต่อผู้บริโภค
สิ่งสำคัญอีกประการคือ การลดต้นทุนด้านวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการผลิตสุกร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์เพื่อเป็นวัตถุดิบทดแทนคือ ข้าวโพดและถั่วเหลือง ขณะนี้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรนำร่อง 500 ตำบล ขณะเดียวกันให้กรมปศุสัตว์แนะนำเกษตรกรเกี่ยวกับการใช้วัตถุดิบทดแทนในสูตรอาหารสัตว์ต่างๆ
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติกล่าวว่า วันนี้ซึ่งเป็นวันพระแรกหลังผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่ร่วมประชุมเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567 ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มห้างค้าส่ง ค้าปลีก และร้านเนื้อสุกรที่จะดูแลผู้เลี้ยงสุกรที่ขาดทุนมากว่า 10 เดือน ทำให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มปรับขึ้น 2 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาอยู่ระหว่าง 68 – 74 บาทต่อกิโลกรัมตามแต่ละภูมิภาค
ทั้งนี้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติทำหนังสือถึงโดยส่ง 9 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) บริษัท บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท วี.ซี.มีท จำกัด บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัดเพื่อแจ้งการปรับฐานราคาจำหน่ายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มขึ้นอีก 2 บาทฟาร์ม รวมถึงขอความร่วมมือให้ใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนต่างๆ ให้สอดคล้องตลอดห่วงโซ่การผลิตเนื่องจากหากราคาจำหน่ายชิ้นส่วนต่ำจะส่งผลให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มต่ำไปด้วย จนผู้เลี้ยงสุกรขาดทุนเป็นเวลากว่า 10 เดือน โดยเฉพาะผู้เลี้ยงรายย่อยที่ต้นทุนการผลิตสูง
นายสิทธิพันธ์กล่าวว่า โครงสร้างต้นทุนสุกรขุนมีชีวิต ณ น้ำหนักขายที่ประมาณ 100 กิโลกรัม ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 80 บาทต่อกิโลกรัม การปรับราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่า ราคาจะทยอยเข้าสู่ต้นทุนการเลี้ยงก่อนเทศกาลตรุษจีนในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะสามารถยุติปัญหาการขาดทุนอย่างยาวนานได้ .-512 – สำนักข่าวไทย