กรุงเทพฯ 15 ธ.ค.- 1 ม.ค.67 ประเทศไทยจะใช้มาตรฐานน้ำมันตัวใหม่ ยูโร 5 ลดมลพิษ ลดฝุ่น แต่ราคาก็อาจจะขยับขึ้นด้วย ในขณะที่ไทยต้องปรับน้ำมันกลุ่มดีเซลน้ำมันพื้นฐานจากบี10เป็นบี7 เพิ่ม 1 พ.ค.67ภาครัฐยืนยันไม่กระทบผู้ปลูกปาล์ม ส่วนปีใหม่ ธพ.สั่งสำรองเต็มที่คาดยอดใช้ปี67 โตร้อยละ 1-2
น.ส. นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ประเทศไทยจะบังคับใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ลดฝุ่น PM 2.5 เพื่อสุขภาพของประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาลที่ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” โดยน้ำมันใหม่จะมีค่ากำมะถันไม่เกิน 10 ppm จะทำให้ฝุ่น PM 2.5 ลดลงถึง 20 – 24% โดยขอให้ประชาชนผู้ใช้รถยนต์มั่นใจ น้ำมันยูโร 5 สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ โดยไม่เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมาทุกโรงกลั่นได้ลงทุนรวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน ส่วนค่าปรับปรุงคุณภาพจะมีอัตราและส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น ในขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณา
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านของทุกปั๊มน้ำมันจาก ยูโร 4 เป็นยูโร 5 ทั่วประเทศ คาดว่า จะเปลี่ยนได้ครบทุกปั๊ม และภายใน 3-4 เดือน ส่วน ในกรุงเทพฯ คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน และ หลังจากเปลี่ยนเป็นน้ำมันยูโร 5 แล้ว จากการหารือกับค่ายรถยนต์ต่างๆ เห็นพ้องกันว่า น้ำมันที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับ เครื่องยนต์ จะต้องเป็นน้ำมันที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกิน ร้อยละ 7 หรือบี 7 ซึ่งที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2566 จึงมีมติ เห็นชอบให้ประกาศปรับลดชนิดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เหลือ 2 ชนิด คือ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาที่เป็นน้ำมันฐานของประเทศเป็นบี7 จากปัจจุบันเป็นบี 10 และ และให้มีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (บี 20) เป็นน้ำมันทางเลือก เริ่ม 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป โดยเรื่องนี้จะเสนอ ครม.เห็นชอบเร็วๆนี้
สำหรับการปรับลดชนิดน้ำมันดังกล่าวจะไม่ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปาล์มน้ำมันลดลง ไม่กระทบต่อเกษตรกร เนื่องจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปัจจุบันมีสัดส่วนผสมไบโอดีเซลอยู่ที่ร้อยละ 7 อยู่แล้ว โดยมีการใช้ไบโอดีเซลอยู่ที่ 4.33 ล้านลิตร/วัน และการใช้น้ำมันปาล์มอยู่ที่ 3.77 ล้านกก./วัน และคาดว่าในปี 2567จากเศรษฐกิจขยายตัวความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น จะทำให้มีการใช้ไบโอดีเซล เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.66 ล้านลิตร/วัน และการใช้น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 3.88 ล้านกก./วัน โดย กพช. ได้มอบหมายให้ ธพ. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการอุปทานน้ำมันปาล์มหากได้รับผลกระทบจากการปรับลดชนิดน้ำมันดีเซลดังกล่าว
“ขอให้ประชาชนผู้ใช้รถยนต์มั่นใจ น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ โดยไม่เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ และช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพ ในขณะที่การปรับน้ำมันกลุ่มดีเซลเป็นฐานใหม่ที่บี7 นั้นก็จะไม่กระทบต่อเกษตรกร การใช้ปาล์มก็จะไม่ลดลง ซึ่ง กพช.เป็นห่วงเรื่องนี้และให้เร่งทำความชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ” น.ส. นันธิกากล่าว
ส่วนการสำรองน้ำมันช่วงปีใหม่นั้น ทาง ธพ.ได้ทำหนังสือถึง จังหวัดต่างๆในการติดตาม ประสานดูแล คลังน้ำมัน ปั๊มน้ำมัน เพื่ออำนวยความสะดวก ทั้งการขนส่งและสำรองน้ำมันให้เพียงพอรองรับการเดินทางของประชาชน โดยคาดว่าในปี 2567 นั้น ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นราว ร้อยละ 1-2 จากปีนี้
โดยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 อยู่ที่ 152.17 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.3 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.50 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.9 การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ 68.59 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.0 เนื่องจากในปี 2565 (ก.ย. – ต.ค.) มีการใช้น้ำมันดีเซลพื้นฐานเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 13.17 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 60.6 เนื่องจากการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.93 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.8 การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 3.36 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.8 – 511 .-สำนักข่าวไทย
