กรุงเทพฯ 12 ธ.ค.-ภาวะตลาดหลักทรัพย์ พ.ย. 66 ต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สิบ ขายสุทธิ 21,132 ล้านบาท SET Index ปิดที่ 1,380.18 จุด ลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า มองปีหน้าหลายปัจจัยดีขึ้น
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนพฤศจิกายน 2566 ว่า มีปัจจัยเกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดย ผลการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐ ( FED )มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 อยู่ที่ระดับ 5.00%-5.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ยังส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 แต่เริ่มเห็นผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนคาดว่า FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนธันวาคม และคาดว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนมีนาคมปีหน้า ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ อ่อนตัวลงและเห็นเงินทุนไหลเข้าในสินทรัพย์เสี่ยง
ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออก อีกทั้งประเมินเศรษฐกิจขยายตัว 2.4% และ 3.8% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ของไทยถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แสดงถึงนโยบายการเงินของไทยในปัจจุบันที่ค่อนข้างตึงตัว อีกทั้งประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้าถูกนักวิเคราะห์ปรับลดลงต่อเนื่องจากต้นปีนี้ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไม่ดึงดูดใจผู้ลงทุน
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,380.18 จุด ปรับลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
• ในเดือนพฤศจิกายนปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน และกลุ่มเกษตรและอาหาร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
• ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 45,804 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 28.9% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 11 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 54,399 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สิบ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,132 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19
• ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ (ETL) และ บมจ. วินโดว์ เอเชีย (WINDOW) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท (SCL)
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ระดับ 16.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า
•อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ระดับ 3.25% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.43%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 455,273 สัญญา ลดลง 11.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 536,386 สัญญา ลดลง 3.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures
“หุ้นไทยปีหน้ามีหลายเรื่องที่ดีและมีความเสียง โดยเรื่องที่ดีคือ ปีหน้า งบ ภาครัฐ ปี67 จะเข้ามา เดือน พ.ค. จากปีนี้ล่าช้า และต้องดูนักท่องเที่ยวจะกลับมาตามเป้าหมายหรือไม่ รวมทั้งต้องดูเงินเฟ้อ หากไม่พุ่งขึ้นก็เป็นเรื่องดี ในขณะที่ความเสี่ยง ก็ต้องดูดอกเบี้ยสหรัฐจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นอย่างไร เรื่องราคาน้ำมันหากไม่ขึ้นก็เป็นเรื่องดี ภาพใหญ่ ก็เป็นเรื่องดีต่อเศรษฐกิจและดีต่อหุ้นภาพรวม” นายศรพลกล่าว
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กล่าวว่า หุ้นไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเหตุการณ์ตลาดโลก กระทบต่อไทย แรงมาก แต่หากมาดูว่า ปัจจัยเหล่านี้ คลี่คลายมากขึ้น และ นโยบายภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับความแข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์ ในขณะที่หนี้สาธารณะของไทยก็ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่กระทบจากโควิด-19 โดยหากเศรษฐกิจไทยเติบโตกที่ดี มีการจ้างงาน เพิ่มขึ้น บจ.มีผลประกอบการที่ดี่ หุ้นไทยซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นด้วย ในขณะนี้ก็คงต้องรอดูว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างไร ในขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามภาวะตลาด และปรับหลักเกณฑ์ต่างๆให้เหมาะสมดูแลนักลงทุนอย่างเท่าเทียม.-511-สำนักข่าวไทย