กรุงเทพฯ 12 ธ.ค.-ส.อ.ท.ชี้หากการทบทวนอัตราค่าแรงขั้นต่ำของคณะกรรมการไตรภาคีใหม่กระทบต้นทุน ไทย แข่งขันลำบาก ควรยึดตามไตรภาคี
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ หากการทบทวนอัตราค่าแรงขั้นต่ำของคณะกรรมการไตรภาคีใหม่กระทบต้นทุน ไทย แข่งขันลำบาก ควรยึดตามไตรภาคี โดยหากการทบทวนอัตราค่าแรงขั้นต่ำของคณะกรรมการไตรภาคีใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน เพราะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงเรื่องการใช้นโยบายไตรภาคีมาตลอด ซึ่งการจะปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 400 บาทนั้น มองว่าเป็นการปรับขึ้นค่าแรงที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งเป็นต้นทุนใหญ่ของการผลิต เพราะใน 46 กลุ่มอุตสาหกรรม มีประมาณครึ่งหนึ่งที่ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น หรืออุตสาหกรรมเก่า หากค่าแรงขึ้นจะทำให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ
ภาคบริการจะได้รับผลกระทบมาก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านสปา เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อการบริโภคในประเทศ แต่จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ต้นทุนสินค้าในไทยราคาแพง โดย สิ่งที่ กกร.นำเสนอไปนั้น ถือว่าครบถ้วนแล้ว หากไปเปลี่ยนแปลงก็จะขัดแย้งกับกฎกติการะดับสากล ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization) หรือ ILO และกฎหมายไทยมีการอ้างอิงกับส่วนนี้
“ช่วงนี้ อุตฯไทยเหมือน ‘เขาควาย’ ไม่รู้จะไปขวาหรือซ้าย โดนเสียบทั้งคู่ ดังนั้น คีย์เวิร์ด คือความสามารถในการแข่งขันประกอบไปด้วยต้นทุนทุกประเภท พอต้นทุนเยอะก็แข่งขันไม่ได้ และจะไปถึงการลดการจ้างงาน และนำ Automation มาแทนแรงงาน และแรงงานก็จะตกงาน แรงงานจาก 500 คน จะเหลือไม่ถึง 100 คนทันที สิ่งที่ต้องระมัดระวัง มีความสมดุลที่เหมาะสม และมีความยืดหยุ่น ” นายเกรียงไกร กล่าว
ส่วนประเด็นเรื่องหนี้ครัวเรือนของไทยนั้น เห็นด้วยกับรัฐบาลที่กำลังปรับโครงสร้างหนี้ยกเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะการนำหนี้นอกระบบนำเข้ามาอยู่ในระบบให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ดี มองว่าหนี้ครัวเรือนเกิดขึ้นตลอด แต่สิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ดีที่สุด คือการสร้างงานให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตร พร้อมแนะนำว่า ต้องกระจายรายได้ไปยังเมืองรอง เกลี่ยให้เศรษฐกิจ( GDPX โตขึ้นทั่วๆ กัน ก็จะทำให้หนี้ภาคครัวเรือนลดลง รวมทั้งต้องจับตา สภาวะอากาศ “เอลนีโญ”ที่จะกระทบกับสินค้าเกษตรด้วย.-511-สำนักข่าวไทย