กรุงเทพฯ 11 ต.ค. – ผู้ว่าการ MEA ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน Outgoing ชิดลม ย้ำลงทุนตามแผนให้มีระยะทางสายใต้ดินสะสมรวม 91.2 กิโลเมตร
นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจการบำรุงรักษาอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน Outgoing ชิดลม ซึ่งเป็นอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2564 มีระบบไฟฟ้าแรงดัน 115/69 และ 24 กิโลโวลต์ (kV) อยู่ใต้ถนนชิดลม ถึงถนนสารสิน และถนนเพลินจิต (จากสี่แยกชิดลม ถึงสี่แยกเพลินจิต) เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.6 เมตร ยาว 1.3 กิโลเมตร อยู่ลึกกว่า 35 เมตร มีการเชื่อมโยงกับอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินเดิมที่มีขนาดแรงดัน 230 kV เชื่อมต่อระหว่างสถานีต้นทางบางกะปิ ถึงสถานีต้นทางชิดลม ยาว 7 กิโลเมตร อยู่ลึกกว่า 30 เมตร ลอดใต้แนวคลองแสนแสบ อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และอุโมงค์ระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าในย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาไฟฟ้าดับ ลดความเสี่ยงทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นกับสายไฟฟ้าแรงสูงบนพื้นดิน พร้อมทั้งสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามให้กับเมืองมหานครของประเทศไทย
ทั้งนี้ นอกจากการดำเนินโครงการนำสายไฟฟ้าแรงดันสูง 230 กิโลโวลต์ (kV) ลงใต้ดินแล้ว MEA ยังได้นำสายไฟฟ้าแรงดันสูงขนาด 12/24 กิโลโวลต์ (kV) รวมถึงแรงดันต่ำขนาด 220/380 โวลต์ (V) ลงใต้ดิน ภายใต้ชื่อโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน มีระยะทางดำเนินโครงการทั้งสิ้น 236.1 กิโลเมตร มีเป้าหมายก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2570 โดยขณะนี้สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จรวม 62 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่สำคัญในถนนต่างๆ เช่น ถนนสีลม ถนนสุขุมวิท ถนนพหลโยธิน ถนนพญาไท ถนนพระราม 1 ถนนราชดำริ ถนนราชวิถี ถนนราชปรารภ ถนนศรีอยุธยา ถนนสวรรคโลก ถนนสาธุประดิษฐ์ และถนนสว่างอารมณ์ เป็นต้น ขณะเดียวกันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 174.1 กิโลเมตร เช่น โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก และโครงการก่อสร้างตามแนวรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โดย MEA คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมีระยะทางที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นอีก 29.2 กิโลเมตร ทำให้มีระยะทางสายใต้ดินสะสมรวมทั้งสิ้น 91.2 กิโลเมตร.-สำนักข่าวไทย