หุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนนับตั้งแต่ปี 2555 

กรุงเทพฯ 5 ต.ค.-บทความ “ตลาดหลักทรัพย์ไทยกับบทบาทในเวทีโลก” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตลาดทุนไทยมีความโดดเด่นหลายมิติ ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเมื่อเทียบเคียงตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค โดยมีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนนับตั้งแต่ปี 2555 อีกทั้งมีมูลค่าเสนอขายหุ้น IPO สะสม 5 ปีย้อนหลังสูงที่สุดในอาเซียนและมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดอนุพันธ์เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน


ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงในภูมิภาค อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามตลาด (cross-border products) การขับเคลื่อนความยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและเศรษฐกิจไทยสู่สายตานานาชาติอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายบทบาทสำคัญในเวทีโลก เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนสู่ตลาดทุนไทย อันจะเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศต่อไป

นอกเหนือจากบทบาทหลักในการเป็นหนึ่งในเสาหลักเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจทุกขนาดทั้งภาครัฐและเอกชนที่ขยายไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และระบบนิเวศดิจิทัล การส่งเสริมพัฒนาการด้านคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน และการเป็นแหล่งการลงทุนและการออมให้กับผู้ลงทุนทุกประเภทเพื่อส่งเสริมตลาดทุนไทยให้เติบโตทั้งเชิงธุรกิจ อุตสาหกรรมตลาดทุน สังคม และประเทศอย่างยั่งยืนนั้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงในภูมิภาค การส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและเศรษฐกิจไทยสู่สายตาของนานาชาติมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายบทบาทสำคัญในเวทีโลก


ตลาดทุนไทยโดดเด่นเมื่อเทียบเคียงตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค

ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 24 ของโลกในปัจจุบันและได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ชั้นนำของโลก (advanced emerging market) โดย FTSE Russell

ตลาดทุนไทยมีความโดดเด่นหลายมิติ ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเมื่อเทียบเคียงกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาคโดยเป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในอาเซียนนับตั้งแต่ปี 2555 อีกทั้งมีมูลค่าเสนอขายหุ้น IPO สะสม5 ปีย้อนหลังสูงที่สุดในอาเซียน และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดอนุพันธ์เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน


ในเชิงคุณภาพ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นประเทศแรกในอาเซียน ที่เข้าเป็นสมาชิก United Nations Sustainable Stock Exchanges (SSE) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนางานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นตัวอย่างให้แก่ประเทศอื่นได้เรียนรู้ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนีความยั่งยืนในระดับสากลสูงที่สุดในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) โดย S&P Global ที่มีบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนีถึง 26 บริษัท สูงที่สุดในอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ในขณะที่ดัชนีFTSE4Good Index และ MSCI ESG Universal Index มีบริษัทจดทะเบียนไทยอยู่ 42 และ 41 บริษัท ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียนเช่นเดียวกัน 

นอกจากนี้ จากการประกาศล่าสุดของ The Sustainability Yearbook 2023 โดย S&P Global บริษัทไทยได้รับการจัดอันดับในระดับ Gold Class 12 บริษัท มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก สะท้อนถึงความโดดเด่นของธุรกิจไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจากทั่วโลก และสะท้อนถึงการให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างสมดุลทั้งธุรกิจและสังคม ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เตรียมความพร้อมบริษัทมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริษัทก้าวสู่ดัชนีสากลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสายตาผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อันนำไปสู่ความน่าสนใจในการลงทุนสู่ประเทศไทย

บทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระดับนานาชาติ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมโยงการลงทุนสู่ประเทศในกลุ่ม CLMVตลาดทุนไทยมีบทบาทในการเชื่อมโยงการลงทุนสู่ประเทศในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน CLMV ที่เป็นกลุ่ม frontier market ในด้านการพัฒนาความรู้ทางการเงินและการปรับเกณฑ์เพื่อส่งเสริมให้บริษัทในกลุ่มประเทศ CLMV มาระดมทุนผ่านตลาดทุนไทย ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เชื่อมโยงตลาดทุนไทยสู่กลุ่มประเทศ CLMV ผ่านการออกดัชนี SET CLMV Exposure ตั้งแต่ปี 2561 เพื่อสะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม CLMV โดยพิจารณาจากรายได้ของบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดซื้อขาย Depositary Receipt (DR) ตัวแรกเมื่อปี 2561 อ้างอิงกองทุนExchange Traded Fund (ETF) ที่ลงทุนในดัชนี VN30 ที่เป็นดัชนีหุ้นชั้นนำ 30 ตัว ของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนไทยกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้สะดวก ผ่านการซื้อขาย DR ในรูปสกุลเงินบาทซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยปัจจุบันได้ขยายไปยังสินทรัพย์อ้างอิงของประเทศอื่นๆ อีกมากมาย รวมมี DR อ้างอิงหุ้นต่างประเทศถึง 19 รายการด้วยกัน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ กับบทบาทผู้นำการสร้างมาตรฐานและความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน โดยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศผู้นำในอาเซียนที่ผลักดันนโยบายความร่วมมือ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหลักทรัพย์อาเซียน อาทิ การขับเคลื่อนความยั่งยืน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามตลาด (cross-border products) เพื่อขยายโอกาสการลงทุน การยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและการลงทุนที่ยั่งยืน การขยายการรับรู้ถึงศักยภาพของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนแก่ผู้ลงทุนนานาชาติผ่านการพัฒนาเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและการจัดโรดโชว์ เป็นต้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ผลักดันให้จัดตั้งคณะทำงานด้านความยั่งยืน (ESG Working Group) ขึ้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในอาเซียน ที่สนับสนุนให้การเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียนอาเซียนมีความสอดคล้องกัน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ลงทุนทั่วโลกสามารถนำไปใช้ในการเปรียบเทียบและตัดสินใจลงทุน ซึ่งทำให้เกิดการขยายผล และนำไปสู่การจัดทำ ASEAN Exchanges Common ESG Metrics ที่เป็นมาตรฐานขึ้น และได้เผยแพร่เมื่อการประชุม ASEAN Exchanges CEOs ครั้งที่ 36 ในเดือนกันยายน 2566

(Link: https://www.aseanexchanges.org/content/common-esg-metrics/)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมผู้ลงทุนต่างประเทศให้เข้าถึงบริษัทจดทะเบียนไทยโดยผ่าน DR ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ผลักดันการสร้างความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ข้ามตลาดอาเซียน ด้วย DR ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนา DR เพื่อให้ผู้ลงทุนไทยกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์หรือกองทุนต่างประเทศแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนต่างประเทศได้เข้าถึงบริษัทจดทะเบียนไทยด้วยเช่นกัน เริ่มต้นด้วยความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange: SGX) ซึ่งปัจจุบัน มี 3 หลักทรัพย์ไทยที่เข้าจดทะเบียนในรูปแบบ DR ใน SGX เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค ได้รู้จักหลักทรัพย์ไทยผ่านการประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้ และบทวิเคราะห์ และสามารถเข้าถึงหุ้นไทยได้สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขยายความร่วมมือด้าน DR นี้ กับตลาดหลักทรัพย์อื่นในอาเซียนต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นสื่อสารข้อมูลตลาดทุนไทยไปยังผู้ลงทุนและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั่วโลก ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นพันธมิตรกับองค์กรในระดับนานาชาติและริเริ่มกิจกรรมเชิงรุกที่หลากหลาย เพื่อสื่อสารข้อมูลภาพรวมของประเทศไทย เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย รวมถึงบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีผลประกอบการที่โดดเด่นสู่สายตานานาชาติไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ลงทุนโดยตรง สื่อต่างประเทศ หรือองค์กรต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศในประเทศไทย หรือสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมมือกับพันธมิตรในตลาดทุน จัดงานโรดโชว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการจัดงาน Thailand Focus เป็นประจำทุกปี เพื่อชูศักยภาพเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก และสร้างโอกาสใหม่เพื่อเชื่อมโยงการลงทุน รวมถึงการจัดโรดโชว์ไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้งที่เป็นการจัดโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง และการร่วมจัดกับตลาดหลักทรัพย์พันธมิตร อาทิ การร่วมมือกับกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียน และFTSE Russell ส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์อาเซียน ในงาน ASEAN & FTSE Roadshow 2022 ให้แก่ผู้ลงทุนในกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือการร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange: SZSE) จัดโรดโชว์ผ่านแพลตฟอร์ม V-Next ของ SZSE เพื่อแสดงศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนและสถาบันตัวกลางของทั้งสองประเทศให้แก่ผู้ลงทุนจีนและต่างชาติ มุ่งเน้นที่อุตสาหกรรมภาคการผลิต ยานพาหนะไฟฟ้า และพลังงานสะอาด

ไม่เพียงแต่การสื่อสารไปยังผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญต่อการสื่อสารไปยังองค์กรในระดับนานาชาติด้วย โดยได้ริเริ่มจัดงาน “Embassies @ SET” ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเชิญชวนเอกอัครราชทูต ทูตพาณิชย์ ทูตการค้าและเจ้าหน้าที่การทูต จากสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการเชื่อมโยงและให้ข้อมูลด้านการค้าการลงทุนของแต่ละประเทศ  ให้ร่วมรับฟังข้อมูลศักยภาพตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจของประเทศไทย ความโดดเด่นด้านการพัฒนาความยั่งยืนและความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทย เพื่อเปิดมุมมองให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในประเทศไทย นับเป็นการขยายการรับรู้ พร้อมสร้างโอกาสและการเชื่อมโยงในการทำธุรกิจกับต่างประเทศมากขึ้น โดยได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากคณะทูตประเทศต่างๆ มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้แทนจากประเทศต่างๆ เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของตลาดทุนไทย ให้ตอบโจทย์ผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ต่อยอดพัฒนาความร่วมมือทั้งกับสถานเอกอัครราชทูตและตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้นๆ จากการจัดงานนี้ในหลายโครงการด้วยกัน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นสมาชิกที่มีบทบาทขององค์กรตลาดทุนนานาชาติตลาดหลักทรัพย์ฯ ตอกย้ำบทบาทในเวทีโลกผ่านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกและมีบทบาทในองค์กรระดับสากลที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน อาทิ  สมาพันธ์ตลาดหลักทรัพย์โลก (World Federation of Exchanges: WFE) สหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์ภาคพื้นเอเชียและโอเซียเนีย (Asian and Oceanian Stock Exchanges Federation: AOSEF) รวมถึง Association of National Numbering Agencies (ANNA), Association of Futures Market (AFM), Global Association of Central Counterparties (CCP12) เป็นต้น ผ่านการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี การเข้าร่วมเป็นวิทยากรคณะกรรมการและคณะทำงาน ตลอดจนการนำเสนอข้อมูล โครงการ และพัฒนาการสำคัญของตลาดทุนไทยผ่านสื่อและช่องทางต่างๆ ขององค์กรนานาชาติเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมและเอื้อต่อพัฒนาการของตลาดทุนไทยและภูมิภาค โดยล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้าร่วมเป็นวิทยากรในสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “SGX-SET Depositary Receipt (DR) Linkage” เพื่อแชร์ประสบการณ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามตลาดให้แก่สมาชิก AOSEF ได้รับทราบข้อมูลและเพิ่มโอกาสความสนใจในการสร้างความร่วมมือระหว่างกันต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นเป็นตัวแทนที่ดีของภาคเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยด้วยผลงานที่แข่งขันได้ในเวทีโลก โดยเป็นผู้นำของตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพในหลายมิติ ที่ดำเนินการเชิงรุกเพื่อนำเสนอข้อมูลที่โดดเด่น ความน่าสนใจ และภาพลักษณ์ที่ดีของตลาดทุนไทย สู่นานาชาติอย่างสม่ำเสมอ พร้อมให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนสู่ตลาดทุนไทย อันจะเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กระเช้าหลุด ช่างทาสีร่วงตึก 5 ชั้น ตาย 1 สาหัส 1

พัทลุง 2 ส.ค. – เกิดเหตุสลด กระเช้าปลายบูมหลุดจากเครน ช่างทาสีร่วงจากตึก 5 ชั้น เสียชีวิต 1 เจ็บสาหัส 1 ที่ไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียน จ.พัทลุง เกิดเหตุสลดกลางไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียนแห่งหนึ่ง ในตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อกระเช้าที่ผูกติดกับหัวเครนเกิดหัก หลุดจากตึกสูง 5 ชั้น ส่งผลให้ช่างทาสี 2 คน ที่อยู่บนกระเช้าร่วงตกลงกระแทกพื้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 คน คือ นายธวัชชัย อายุ 36 ปี และนายชุติเดช อายุ 43 ปี บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองข้างหักละเอียด แขนซ้ายหักผิดรูป เจ้าหน้าที่เร่งให้การช่วยเหลือก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลพัทลุงอย่างเร่งด่วน ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า คนงานทั้ง 2 เป็นช่างทาสี ได้ขึ้นกระเช้าเหล็กเพื่อขึ้นไปทาสีบริเวณชั้น 5 ของอาคาร ซึ่งมีความสูงประมาณ 26 เมตร แต่ด้วยน้ำหนักของคนงานทั้งสองคน […]

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

ทำเนียบ 2 ส.ค.-รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final […]

EOD เก็บกู้ระเบิดฝังอยู่ใกล้ปั๊มที่ถูกกัมพูชายิงใส่

ศรีสะเกษ 2 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายหัวระเบิด HE ของจรวด BM 21 ที่ฝังอยู่บนถนนกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อทำลายระเบิดที่ฝังอยู่ในถนน บ้านน้ำเย็น-บ้านผือ ฝั่งมุ่งหน้าเขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นระเบิดที่ฝั่งกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือน โดยจุดที่ระเบิดถูกฝังบนถนนอยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นระเบิดที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม พร้อมกับเหตุการณ์ยิงกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย เจ้าหน้าที่ได้นำกระสอบทรายมาทำเป็นบังเกอร์ล้อมรอบจุดที่ระเบิดฝังอยู่ในถนน เจ้าหน้าที่ชุดจากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่ 22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC โดยมีการปิดถนนรัศมี 1 กิโลเมตร […]

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]