กรุงเทพฯ 3 ต.ค. –นายกฯ มุ่งพัฒนาระบบชำระเงินผ่าน Blockchain ทั่วประเทศ หลังจากเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เดินหน้า ดึงทุนยักษ์ใหญ่ขยายลงทุนไทย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Thailand: The Era of Change” ว่า รัฐบาลเตรียมออกนโยบายเพื่อกระตุ้นการสร้างงาน สนับสนุนทางการเงินแก่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง โครงการ Digital Wallet มูลค่า 10,000 บาท เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่ากับการเติบโตของ GDP ร้อยละ 5 ในปีหน้า เตรียมพัฒนาระบบการชำระเงินผ่านเทคโนโลยี Blockchain ทั่วประเทศ ด้วยวินัยการเงินการคลังที่เข้มงวด และกระบวนการลงทุนจากต่างประเทศที่คล่องตัว
รัฐบาลเดินหน้าสนับสนุนให้มีการลงทุนจากต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น หนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตใช้ high-skilled and high-tech ดังนั้นการลงทุนเหล่านี้ จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และช่วยเตรียมความพร้อมประเทศไทยให้ เติบโตในเศรษฐกิจโลกใหม่ หลังจาก นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุม UNGA78 ได้ผลักดันประเด็นเรื่องการลงทุน ผ่านการหารือกับผู้นำภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึง Tesla และ Estee Lauder กําลังพิจารณาขยายธุรกิจในประเทศไทย Google และ Microsoft อยู่ระหว่างพิจารณาลงทุน data centers ในไทย และการหารือกับสถาบันการเงินเช่น BlackRock, Citi, Goldman Sachs และ JPMorgan ล้วนสนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด จึงขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลดำเนินงานอย่างจริงจัง เพื่อให้โอกาสเหล่านี้เกิดขึ้น
รัฐบาลยังมุ่งกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งขยายตลาดส่งออก รัฐบาลจะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้ากับประชาคมระหว่างประเทศรวมถึง การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป และบูรณาการกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) รวมถึงยกระดับกรอบความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว ทั้งความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) โดยรัฐบาลวางแผนดำเนินนโยบายเชิงรุก และโดดเด่นในเวทีโลกมากขึ้น
ด้านนโยบายทางการเงินการคลัง ย้ำว่าทุกนโยบายต้องคำนึงถึงวินัยการเงินการคลังสมดุล เพราะจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อันดับความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของประเทศ ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s จัดให้ไทยมีอันดับเครดิตที่มีเสถียรภาพ (stable outlook) สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ สัดส่วนทุนสำรองฯ ต่อมูลค่าสินค้านำเข้าอยู่ที่ 10 เท่า สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล
ด้านการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน การประชุม UNGA ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำโลก เพื่อยืนยันเจตนารมย์ของไทยที่จะร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ เดินหน้าไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน การกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) การดำเนินนโยบายการเงินสีเขียว (Green Finance Mechanism) และออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ภายในปีหน้า .-สำนักข่าวไทย