กรุงเทพ 16 ก.ย.- ธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยากทั่วโลกมาแรง คาดปี 2575 เติบโตได้ถึง 119 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยเป็นหนึ่งในเดสทิเนชั่นของผู้มีบุตรยากจากทั่วโลก บมจ. เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากแบบครบวงจรเตรียมขยายธุรกิจขานรับนโยบายรัฐ พร้อมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ราว 76.75 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไตรมาส 4/66
นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ผู้ให้บริการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตรแบบครบวงจรในไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจให้บริการทางการแพทย์เฉพาะสำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตสูง เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากสาเหตุหญิงในวัยเจริญพันธุ์มีการศึกษาสูงขึ้น ทำงานนอกบ้านมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่เพิ่มขึ้น และปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับภาวะมีบุตรยาก จึงต้องมีการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาปรับใช้ในการรักษา เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์มากขึ้น จึงส่งผลให้อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ตลาดการให้บริการภาวะมีบุตรยากทั่วโลกมีมูลค่า 49 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2570 จะเติบโตเป็น 90 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2575 คาดว่า จะเติบโตได้ถึง 119 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของผู้มีบุตรยากทั่วโลก เนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการมีการดูแลอย่างอบอุ่น มีมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย รวมถึงการมีนโยบายที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและดึงดูดชาวต่างชาติ อาทิ นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยสามารถอยู่อาศัยได้นานถึง 90 วัน รวมถึงค่ารักษาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ภายใต้มาตรฐานระดับเดียวกัน ส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากในประเทศไทย สูงขึ้นเป็น 60,000 ล้านบาทในปี 2570 หรือโตขึ้น 14.6% จากปี 2562
“SAFE ให้บริการรักษาผู้มีบุตรแบบครบวงจรในไทยมากว่า 15 ปี สัดส่วนการรักษาชาวไทยต่อต่างชาติ 50/50 มีทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ส่วนอัตราความสำเร็จของการรักษาอยู่ที่ 75% ในด้านการเติบโตของธุรกิจมีแนวโน้มโตตามเทรนด์โลก และเชื่อว่ามาตรการวีซ่าฟรี สำหรับนักท่องเที่ยวจีน จะช่วยให้มีชาวจีนเข้ามารักษาเพิ่มมากขึ้น จากที่หายไปในช่วงโควิด-19 ระบาด” นพ.วิวัฒน์ กล่าว
ล่าสุด SAFE เตรียมความพร้อมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ราว 76.75 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในไตรมาส 4/66 ตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มปีละ 1-2 สาขา
SAFE ให้บริการตั้งแต่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจนให้การรักษาแก่ผู้ที่มีบุตรยากและการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนแบบพิเศษ การแช่แข็งไข่ ฝากไข่ อสุจิ และตัวอ่อน เพื่อโอกาสในการเติมเต็มความฝันของการมีบุตรในอนาคต พร้อมผู้ดูแลลูกค้าส่วนบุคคล ที่มีประสบการณ์สูง สามารถสื่อสารได้หลากหลายภาษา คอยดูแลช่วยเหลือตลอดกระบวนการอย่างอบอุ่นและใกล้ชิด
ปัจจุบัน บริษัทมี 2 บริษัทย่อย ซึ่งถือหุ้นสัดส่วน 99.99% และ 80% ตามลำดับ ได้แก่ (1) บริษัท เน็กเจนเนอร์เรชั่น จีโนมิค จำกัด (NGG) ดำเนินธุรกิจด้านการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์และการให้บริการด้านห้องปฏิบัติการทางด้านพันธุศาสตร์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกด้วย อาทิ จากโรงพยาบาลชั้นนำ และคลินิกสูตินรีเวช และศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากในประเทศไทย และ (2) บริษัท เซฟ เวลเนส จำกัด (SWC) ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านผิวหนังและความงามภายใต้ชื่อ เดอะฟาวเทน เวลเนส เซ็นเตอร์ (The Fountain Wellness Center) ให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรตั้งแต่ก่อนและหลังมีบุตร
กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้ 1) การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IUI 2) การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี ICSI คือการช่วยปฏิสนธิของไข่และเชื้ออสุจิภายนอกร่างกายและส่งกลับตัวอ่อนเข้าไปยังโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ 3) การย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก 4) บริการแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ อสุจิ และตัวอ่อน 5) การเก็บอสุจิ ด้วยวิธี TESE หรือการเก็บอสุจิโดยตรงจากอัณฑะ 6) เทคโนโลยีคัดอสุจิด้วยวิธี IMSI ด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงเพื่อคัดเลือกอสุจิลักษณะดีมาผสมกับเซลล์ไข่ 7) การคัดกรองอสุจิด้วยวิธี MACs Sperm เพื่อคัดกรองอสุจิที่มีคุณภาพ โดยให้บริการผ่านสาขาทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ สาขาอัมรินทร์ พลาซ่า รามอินทรา ภูเก็ต ขอนแก่นและศรีราชา และมีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงมีช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Line Official, WhatsApp และเว็บไซต์ของบริษัท ในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของบริษัทไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มบริษัทจะใช้ศักยภาพในการให้บริการศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรครบวงจรที่มีแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉลี่ยมากกว่า 15 ปี รวมถึงนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี ในการรักษาและการคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์เฉลี่ยสูงถึง 75% ซึ่งในปี 63 ถึงไตรมาส 1/66 มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เพิ่มขึ้นจาก 47.5% เป็น 71.6% กรณีไม่ได้ตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน และ 63.5% เป็น 77.2% กรณีเพิ่มบริการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน
นอกจากนี้ รูปแบบทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ยังเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันที่จะผลักดันให้กลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยรูปแบบการให้บริการแบบ Integrated Full Service สำหรับศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านการเจริญพันธ์ในระดับสากล รวมทั้งมีสาขาตามสถานที่สำคัญๆ รวม 5 สาขา มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงพยาบาล คลินิกสูตินรีเวช ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตร ห้องปฏิบัติการ และบุคลากรทางการแพทย์ การเป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกอบรมให้แก่นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและได้รับความไว้วางใจในการรักษาผู้มีบุตรยากที่เป็นชาวต่างชาติถึง 2,483 ราย อาทิ จีน อินเดีย เมียนมา เวียดนาม สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฯลฯ เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก การวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในระดับภูมิภาคเอเชีย.-สำนักข่าวไทย