กรุงเทพฯ 19 ก.ย.-นักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และผู้ก่อตั้ง Jitta (จิตตะ) ระบุจากกรณีที่มีคำสั่งของกรมสรรพากรที่กำหนดให้ผู้มีรายได้จากต่างประเทศต้องนำเงินได้พึงประเมินมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดานั้น จึงข้อเสนอรัฐทบทวนจัดเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ นักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และผู้ก่อตั้ง Jitta (จิตตะ) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการวิเคราะห์หุ้นทั่วโลก เปิดเผยว่าขอให้กรมสรรพากรพิจารณาประกาศนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพราะกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่มีการลงทุนต่างประเทศเพื่อหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าการลงทุน
“หากกรมสรรพากรมีการเรียกเก็บภาษีจากเงินลงทุนในหุ้นต่างประเทศ กลุ่มคนที่น่าจะโดนผลกระทบหนักสุด คือ นักลงทุนรายย่อยมากกว่า นักลงทุนรายใหญ่ๆ ที่มีโอกาสลงทุนที่มากกว่า และไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน หรือโอนเงินกลับเข้าประเทศเลย”นายตราวุทธิ์กล่าว
นอกจากนี้ แนวทางปฏิบัติในการคิดภาษีในส่วนของการลงทุนในหุ้นยังต้องมีความชัดเจนและรอบคอบ สร้างความเป็นธรรมกับผู้ลงทุน เนื่องจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศจะแตกต่างจากการมีรายได้อื่นๆ เช่น จากการทำงาน หรือการมีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เพราะหุ้นเป็นทรัพย์สินเสี่ยง มีโอกาสขาดทุนหรือมีกำไรก็ได้ รวมทั้งมีจำนวนการทำธุรกรรมการซื้อขายที่เยอะกว่า ทำให้การคิดภาษีมีความซับซ้อนสูง สร้างความสับสนในการปฏิบัติต่อนัก
ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้รับการยกเว้นภาษี capital gain tax ดังนั้นส่วนตัวจึงคิดว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ก็ควรจะได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนภายในและภายนอกประเทศ
ทั้งนี้เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำเงินไปแสวงหาโอกาสการลงทุนที่ดีจากทั่วโลกได้ เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อลงทุนได้กำไรนักลงทุนก็จะนำเงินกำไรที่ได้จากต่างประเทศกลับมาใช้จ่ายในประเทศ กระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียนต่อไป น่าจะเหมาะสมกว่าที่จะจัดเก็บภาษีจากกำไรตั้งแต่ต้น
จากประสบการณ์ที่เป็นนักลงทุน ผู้สร้างเทคโนโลยีการลงทุน และการได้คลุกคลีอยู่กับนักลงทุนรายย่อยที่ได้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศจำนวนมาก ผมยินดีเป็นอย่างมากที่จะเข้าร่วมการประชุมกลุ่มย่อย (โฟกัสกรุ๊ป) เสนอแนะปัญหาและข้อกังวลร่วมกับกรมสรรพากร เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมให้มากที่สุดต่อนักลงทุนทุกคน.-สำนักข่าวไทย