ยูโอบีเผยธุรกิจ 3 ใน 4 เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปีนี้

กรุงเทพฯ 24 ก.ค.-ผลสำรวจยูโอบีเผย ธุรกิจ 3 ใน 4 เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปีนี้เอสเอ็มอีและบริษัทขนาดใหญ่มองหาโอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศ ปรับตัวสู่ดิจิทัล และสนับสนุนเรื่องความยั่งยืน


รายงาน UOB Business Outlook Study 2023 (SME& Large Enterprises) ที่จัดทำโดยธนาคารยูโอบีเผยธุรกิจเอสเอ็มอีและบรรษัทขนาดใหญ่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว รายงานสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เทรนด์ธุรกิจและกลยุทธ์หลักที่บริษัทชั้นนำของประเทศไทยใช้เป็นแนวทางหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ยูโอบีได้จัดทำรายงานเพื่อรวบรวมความคิดเห็นและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารธุรกิจเอสเอ็มอีและองค์กรใหญ่รวม 530 คน ครอบคลุม 10 กลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศ เกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตขององค์กรและการฟื้นฟูธุรกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ได้คลี่คลายลง โดยผลสำรวจพบว่าธุรกิจเอสเอ็มอีและองค์กรขนาดใหญ่มีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจกำลังเข้าสู่สภาวะฟื้นตัว และยังต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล พร้อมนำกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภาคธุรกิจเชื่อมั่นผลประกอบการเติบโตร้อยละ 76 หรือ 3 ใน 4 ของผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจเชื่อมั่นว่าผลประกอบการขององค์กรในปี 2566 มีแนวโน้มสูงขึ้น ธุรกิจด้านการผลิตและวิศวกรรมมีความเชื่อมั่นสูงสุด (ร้อยละ 85) ตามด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการโรงแรม (ร้อยละ 80) และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 79) แนวโน้มผลประกอบการที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริหารส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 74 มีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัวในปีนี้


นอกจากนี้บริษัทส่วนใหญ่มั่นใจว่ารายได้ของธุรกิจจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปี โดยกว่าร้อยละ 90 หรือ 9 ใน 10 ของธุรกิจเชื่อว่าจะเห็นกำไรกลับคืนมาภายในปี 2568 พร้อมระบุว่าเป้าหมายหลักของธุรกิจในปีนี้คือการมองหาฐานลูกค้าใหม่  (ร้อยละ 37) สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง (ร้อยละ 35) ลดรายจ่าย (ร้อยละ 32) หาแหล่งรายได้ใหม่ (ร้อยละ 30) และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (ร้อยละ 29)

ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อสูงกระทบการดำเนินธุรกิจและระบบห่วงโซ่อุปทานผลสำรวจพบว่าตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา 9 ใน10 ของธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ภาคธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่ม (ร้อยละ 61) ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม (ร้อยละ 56) และกำไรลดลง (ร้อยละ 44)  นอกจากนี้ความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและส่งผลให้การบริหารห่วงโซ่อุปทานในหลายอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย โดยมากกว่า 2 ใน 5 ของธุรกิจพบว่าต้นทุนที่สูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อทำให้การบริหารระบบห่วงโซ่อุปทานประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และสำรองวัตถุดิบที่จะมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

อย่างไรก็ดีธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงภายใน 6 เดือน ถึง 2 ปี สอดคล้องกับการประเมินภาวะเศรษฐกิจของธนาคารยูโอบีที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยได้ขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดแล้วและได้ทยอยปรับระดับลงมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 จากราคาพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับระบบห่วงโซ่อุปทานโลกปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น มองหาโอกาสการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ


ผลสำรวจพบว่าผู้บริหารจำนวนถึง 9 ใน 10 ให้ความสนใจกับการมองหาโอกาสขยายธุรกิจไปต่างประเทศภายในอีก3 ปีข้างหน้า โดยเหตุผลหลัก คือ เพื่อเพิ่มรายได้ แสวงหากำไร และสร้างภาพลักษณ์ระดับนานาชาติให้แก่องค์กรในตลาดใหม่ โดยผลสำรวจพบว่าองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจค้าส่งและส่งออก (ร้อยละ 96) ต้องการขยายธุรกิจในต่างประเทศมากที่สุด มากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย (ร้อยละ 89) และของอาเซียน (ร้อยละ 83) สิงคโปร์เวียดนาม และมาเลเซีย รวมถึงจีนเป็นจุดหมายหลักที่ธุรกิจต้องการขยายตลาด และกว่า 1 ใน 3 สนใจจะขยายธุรกิจไปนอกภูมิภาคเอเชีย 

ทั้งนี้ ความท้าทายหลักที่ภาคธุรกิจเผชิญเวลาขยายธุรกิจไปต่างประเทศคือ ขาดความรู้ทางกฎหมาย กฎระเบียบ และภาษี รวมถึงขาดพันธมิตรที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเดินหน้าปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนการปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล และแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนกำลังเป็นเทรนด์การดำเนินธุรกิจที่อยู่ในกระแสทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา 

ผลสำรวจพบว่าบริษัทพร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และปรับภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดีขึ้นมากกว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจหรือ ร้อยละ92 นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจอย่างน้อย 1 หน่วยงานซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย (ร้อยละ 87) และอาเซียน (ร้อยละ 86) โดยธุรกิจที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และช่วยให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการธุรกิจ โดยธุรกิจประมาณร้อยละ 60 มองหาคำแนะนำจากธนาคารในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้การประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และเชื่อมต่อกับบุคคลที่สามเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น

ในส่วนของความสนใจเรื่องการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ร้อยละ 96 ของบริษัทใส่ใจแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ธุรกิจมองว่ากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนจะช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของบริษัทให้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถดึงดูดพนักงานใหม่และนักลงทุน ผลสำรวจยังพบว่าถึงแม้กว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจไทยได้ประกาศพันธสัญญาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) มีเพียงร้อยละ 51 ที่ได้นำแนวคิดด้านความยั่งยืนมาปฎิบัติใช้อย่างจริงจัง โดยกว่า 1 ใน 3 ของธุรกิจกังวลว่าการนำแนวคิดความยั่งยืนมาปฎิบัติจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและกระทบต่อกำไรของบริษัท

สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเป็นตัวเร่งให้บริษัทในประเทศไทยเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล และผนึกกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อรับมือต่อวิกฤตที่เข้ามา โดยยังสามารถปรับตัวให้ธุรกิจมีผลกำไรและเติบโตไปข้างหน้าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทที่ยังไม่พร้อมนำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาลมาใช้อาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจได้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]