สถาบันคึกฤทธิ์ 29 พ.ค. – กุนซือเศรษฐศาสตร์ แนะรัฐบาลใหม่เร่งดูแลปัญหาแรงงาน เป็นห่วงใช้งบรัฐสวัสดิการ เสนอปรับเพิ่ม VAT ร้อยละ 1 แนะใช้กลไกกองทุนน้ำมันดูแลดีเซล
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานสัมมนา “ปัญหาเศรษฐกิจที่รอรัฐบาลใหม่” ว่า เสนอให้ปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 1 จากปัจจุบันร้อยละ 7 รัฐบาลยังต้องใช้เงินพัฒนาอีกหลายโครงการ จึงต้องจัดหารายได้เพิ่ม แต่ควรทบทวนภาษีจากกำไรผู้ประกอบการ เพราะเป็นมาตรการทำให้ต่างชาติตัดสินใจย้ายไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดยควรใช้เทคโนโลยี ระบบออนไลน์ เข้ามาให้บริการประชาชน นักท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวเป็นแม่เหล็กสำคัญทำรายได้เข้าประเทศ การเร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่ให้รบกวนบรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศ
กรณีกระทรวงการคลังยังไม่ขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล หลังจากครบกำหนด 21 ก.ค.66 มองว่า มาตรการชดเชยดีเซล เมื่อต้องใช้งบประมาณ ช่วงรัฐบาลรักษาการ ต้องเสนอ กกต.พิจารณา เพราะจะผูกมัดไปยังรัฐบาลชุดต่อไป จึงเสนอว่า กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกสำคัญดูแลราคาน้ำมันในการปรับราคาเพิ่มขึ้น-ลดลง ผู้ขับรถใช้น้ำมัน ต้องเป็นผู้รับภาระ ไม่ควรนำงบประมาณโดยรวมเข้าไปชดเชยราคาดีเซลช่วงนี้
ในด้านพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย ถือว่ามีความมั่นคงมาก ทุนสำรองหว่างประเทศสูงถึง 226,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนหนี้สาธารณะร้อยละ 61.2 ของจีดีพี สภาพคล่องส่วนเกินของธนาคาร 2.33 ล้านล้านบาท ตลาดพันธบัตรมีสภาพคล่องรองรับการระดมทุนของภาคเอกชนได้จำนวนมาก ในส่วนของภาระหนี้สาธารณะ หากขยายเพิ่มไปถึงร้อยละ 70 ยังสามารถดึงกลับมาให้ลดเหลือร้อยละ 60 ปี ได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งมาก
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นด้วยกับการจัดทำงบประมาณแบบฐานศูนย์ เพราะทำให้เริ่มคิดใช้งบที่สำคัญตั้งแต่จุดเริ่มต้น แต่ควรเริ่มจัดทำในปีถัดไป สำหรับงบประมาณปี 2568 การสานต่อโครงการลงทุนในเขตอีอีซี นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การส่งเสริมระบบ WiFi 5G เข้าถึงทุกชุมชน รองรับการจัดทำนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า มองว่าในช่วงรอเวลาจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หากล่าช้าเกินเดือนสิงหาคม จะเป็นสุญญากาศทางเศรษฐกิจ การปล่อยไว้เป็นเวลานาน ตั้งรัฐบาลไม่ได้ น่าเป็นห่วงมาก เพราะหากมีเหตุการณ์สำคัญต้องใช้งบเพิ่ม จึงต้องขอ กกต.พิจารณา สำหรับนโยบายรัฐสวัสดิการของ MOU พรรคร่วมรัฐบาล ต้องใช้งบฯ 6.5 แสนล้านบาท ไม่ควรให้มีภาระงบประมาณด้านสวัสดิการสัดส่วนเกินร้อยละ 20 ของจีดีพี จากประสบการณ์ของหลายประเทศทั่วโลก หากเกินสัดส่วนดังกล่าวจะเป็นขีดอันตรายของฐานะการคลัง จึงควรปรับมาเป็นสมาร์ท GOV
ยอมรับว่า ไทยยังมีความเสี่ยงปัญหาแรงงาน ในอีก 7 ปีข้างหน้า แรงงานจะขาดหายไป 11 ล้านคน หรือสัดส่วน 1 ใน 3 ของแรงงานปัจจุบัน ไทยจึงต้องเร่งพัฒนาระดับแรงงานคุณภาพ หรือผลิตบัณฑิตจำนวนมาก รองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น มองว่า กระทรวงแรงงานมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน และอาจสำคัญมากกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อีกทั้งรัฐบาลใหม่ยังต้องเร่งปฏิรูปกฎหมายอีกหลายฉบับ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ และการส่งเสริมแรงงานในประเทศ สำหรับปัจจัยภายนอก มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในวันที่ 24 มิ.ย.66 ส่วนการยืดเวลาชำระหนี้พันธบัตรของสหรัฐ ที่มีแนวโน้มตกลงกันได้ในสภาคองเกรส หากเกิดความผิดพลาด ยอมรับว่าสหรัฐอาจต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย. – สำนักข่าวไทย