24 พ.ค. – EXIM BANK แนะผู้ประกอบการไทย ‘โชว์จุดขายใช้จุดแข็ง’ ส่ง Soft Power เจาะตลาดซาอุดีอาระเบีย
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาหน่วยงานด้านเศรษฐกิจได้ออกมาคาดการณ์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้ไว้ในทำนองเดียวกันว่าไม่สดใสนัก อันเนื่องมาจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก และเป็นตลาดสำคัญของภาคการส่งออกไทย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากประวัติศาสตร์การค้าโลกที่ผ่านมา ตลาดการค้าหลักมักมีที่ตั้งอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน แต่ในปัจจุบันการพยากรณ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าโลกชี้ว่าแรงขับเคลื่อนหลักกำลังขยับตัวลงมาใต้เส้นศูนย์สูตรลงไป ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และอาเซียน สิ่งเหล่านี้สามารถบอกได้ว่าในสภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันเราควรค้าขายกับใครเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากผลกระทบที่ได้รับจากตลาดการค้าเดิม พร้อมแนะตลาดที่ผู้ประกอบการไทยควรค้าขายด้วยเพื่อกระจายความเสี่ยงเดิมนั่นคือ ตลาดตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศมหามิตรของไทยที่ห่างหายกันไปกว่า 30 ปี และกลับมาฟื้นความสัมพันธ์ต่อกันอีกครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงของธนาคารโลก ด้วยระดับรายได้ประชาชาติต่อคนต่อปี (GNI per Capita) สูงถึง 21,540 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับไทยที่ระดับ 7,090 ดอลลาร์สหรัฐ) ประกอบกับการเดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ด้วยนโยบาย VISION 2030 ที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ในประเทศ ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันเพียงอย่างเดียว นำมาซึ่งโครงการลงทุนในหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพลังงานสะอาด (พลังงานหมุนเวียน EV และไฮโดรเจน) โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ ไปจนถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น โดยโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ครอบคลุมถึงความต้องการสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรซาอุดีอาระเบียที่มีประชากรวัยหนุ่มสาว (อายุต่ำกว่า 25 ปี) ถึง 37% ของประชากรทั้งหมด นั่นหมายถึงแนวโน้มการยอมรับสินค้าและวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่จะเปิดกว้างมากขึ้นตามพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ และสร้างโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านรสนิยมของผู้บริโภคในระยะข้างหน้า
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่อว่า แม้โอกาสการค้าการลงทุนไทยในซาอุดีอาระเบียจะกลับมาเปิดกว้างอีกครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าเป็นสนามที่มีผู้เล่นต่างชาติจากทั่วโลกจับตามองและการแข่งขันอยู่ในระดับสูง ดังนั้น การเร่งขยายความสัมพันธ์ต่อเนื่องโดยเฉพาะในภาคธุรกิจไปจนถึงการใช้ประโยชน์จาก Soft Power อาทิ ภาคการท่องเที่ยว จากแนวโน้มการเดินทางมาประเทศไทยของนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียที่เพิ่มขึ้น จะมีส่วนช่วยสร้างแต้มต่อให้สินค้าและบริการไทยสามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดซาอุดีอาระเบียได้สูสียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังต้อง “โชว์จุดขายและใช้จุดแข็ง” ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์เพื่อเพิ่มโอกาสและสร้างการยอมรับให้มากยิ่งขึ้น
โชว์จุดขายด้านการส่งออก
ปัจจุบันมูลค่าส่งออกไทยไปซาอุดีอาระเบียยังอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ โดยในปี 2565 ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดส่งออกอันดับ 28 ของไทย มูลค่าอยู่ที่ 2,048 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้ง ๆ ที่ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดใหญ่ของตะวันออกกลาง ดังนั้น การส่งออกของไทยจึงสามารถขยายตัวได้อีกหากทำการตลาดอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันในมิติของการกระจายตัวของสินค้า พบว่าการส่งออกของไทยราว 50% เป็นการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไปซาอุดีอาระเบีย ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทเจ้าของแบรนด์ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียในอดีต ดังนั้น การผลักดันการส่งออกของไทยในปัจจุบันจึงควรเน้นการกระจายตัวของสินค้าอื่นให้มากขึ้น โดยสินค้าส่งออกที่มีโอกาสขยายตัวเป็นกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถทำการตลาดเพื่อกระตุ้นการรับรู้และยอดขาย อาทิ อาหาร (ฮาลาล) อุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง รวมไปถึงกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ยังมีโอกาสขยายตัวตามแนวโน้มการลงทุนของซาอุดีอาระเบีย
ใช้จุดแข็งด้านการลงทุน
ซาอุดีอาระเบียมีแผนผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยได้ออกแผน VISION 2030 ที่เน้นกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม อาทิ Chemicals, IT, Healthcare and Life Sciences, Tourism และ Real-estate ดังนั้น จึงเป็นโอกาสในการใช้จุดแข็งจากธุรกิจศักยภาพของไทย อาทิ การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การรับบริหารโรงแรม การบริการทางการแพทย์ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อเข้าไปแสวงหาโอกาสการลงทุนในซาอุดีอาระเบีย
“วันนี้ผู้ประกอบการไทยต้องสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นในสินค้าไทยในตลาดซาอุดีอาระเบียให้มากขึ้น EXIM BANK มี “สินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า (Trade Fair Financing)” เพื่อสนับสนุน SMEs ทั้งที่ส่งออกอยู่แล้วและยังไม่เคยส่งออก ให้สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศ หรือต่างประเทศได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและขยายธุรกิจ รวมไปถึงการสนับสนุนการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ หากนักธุรกิจไทยต้องการแต่งงานในเชิงธุรกิจกับนักธุรกิจซาอุดีอาระเบีย หรืออยากจะเชิญมาร่วมลงทุนในประเทศไทยก็สามารถมาเอาค่าสินสอดที่ EXIM BANK ได้เช่นกัน เราเป็นเสมือนเพื่อนคู่คิดที่จะช่วยสร้างความเป็นไปได้ทางธุรกิจ พร้อมกับเติมความกล้าให้ผู้ประกอบการด้วยประกันการส่งออกและการลงทุน ซึ่งจะช่วยคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ให้ SMEs สามารถออกไปคว้าโอกาสในตลาดซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นประตูทองสู่โลกอาหรับ และกลุ่มประเทศที่เรียกว่า MENA หรือ Middle East and North Africa ที่มีประชากรอีกกว่า 300 ล้านคนได้อย่างมั่นใจ” ดร.รักษ์ กล่าว
ในโลกยุค Next Normal ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจที่จะได้ไปต่อคือ ธุรกิจที่พร้อมเปลี่ยนแปลง ไม่ยึดโยงความอยู่รอดไว้กับตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป วันนี้ตลาดซาอุดีอาระเบียเป็นอีกตลาดหนึ่งที่พร้อมจะอ้าแขนรับผู้ประกอบการจากทั่วโลกให้เข้าไปค้าขายและลงทุน SMEs ไทยจึงควรใช้ทั้งจุดขายและจุดแข็งของศักยภาพที่มีอยู่ เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจ ร่วมกับการใช้เครื่องมือทางการเงินที่สถาบันการเงินของรัฐอย่าง EXIM BANK ให้การสนับสนุน เพื่อให้ SMEs ไทย เข้าไปคว้าโอกาสในตลาดต่างประเทศอย่างซาอุดีอาระเบียได้ และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกต่อไป. – สำนักข่าวไทย