กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-บีโอไอเผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก ปี 2566 มูลค่ารวมกว่า 1.8 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 77 มุ่งยกระดับผู้ประกอบการสู่ Smart and Sustainable Industry รองรับไทยเป็นฐานการผลิตระดับโลก
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก (มกราคม – มีนาคม) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 397 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และมีมูลค่าเงินลงทุน 185,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับคำขอส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายมี 205 โครงการ มูลค่ารวม 154,414 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 83 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ ขณะที่การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ ตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) มีจำนวน 77 โครงการ มูลค่ารวม 4,434 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานหมุนเวียน 60 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3,333 ล้านบาท
“ตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นมาก จากสถานการณ์โควิดเริ่มผ่อนคลาย ประเทศผู้ลงทุนหลักกลับมาเปิดประเทศ ประกอบกับมีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน และที่สำคัญ บีโอไอได้เริ่มประกาศใช้ยุทธศาสตร์ 5 ปี และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้มีนักลงทุนสนใจขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการขอรับการส่งเสริมตามมาตรการ Smart and Sustainable Industry ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการยกระดับและปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกิจการ” นายนฤตม์ กล่าว
สำหรับการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 128 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 101,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84 ด้านการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่นิคมหรือเขตอุตสาหกรรมทั่วประเทศ มีจำนวน114 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 122,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 313 โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน
ในส่วนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ มีจำนวน 211 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เงินลงทุน 155,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 115 โดยเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุดกว่า 31,400 ล้านบาท เนื่องจากมีการขอรับการส่งเสริมโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อันดับ 2 ได้แก่ สิงคโปร์ มีจำนวน 30 โครงการ เงินลงทุน 29,742 ล้านบาท โดยมีโครงการใหญ่ในกิจการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์จากบริษัทแม่สัญชาติแคนาดา 1 โครงการ เงินลงทุน 18,500 ล้านบาท และกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากบริษัทแม่สัญชาติจีน 1 โครงการ เงินลงทุน 6,400 ล้านบาท ขณะที่ประเทศจีน เป็นอันดับ 3 มีจำนวน 38 โครงการ เงินลงทุน 25,001 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 87) และญี่ปุ่น เป็นอันดับ 4 มีจำนวน 53 โครงการ เงินลงทุน 24,771 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 147)
นอกจากนี้ การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดก็เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาสแรก มีจำนวน 431 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เงินลงทุนรวม 123,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เป็นสัญญาณที่ดีว่าในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จะมีเม็ดเงินลงทุนเกิดขึ้นจริงมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย