ใช้อีคอมเมิร์ซไทยดันสินค้าสุขภาพและอาหารเจาะตลาดสหรัฐ

นนทบุรี 18 พ.ค.-กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยข้อควรรู้ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ปี 66 คาดจะมีผู้บริโภคชาวอเมริกันกว่า 265 ล้านคนซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ยอดขายจะสูงถึง 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ จะมีสัดส่วนมากสุด ตามด้วยเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เผยสินค้าสุขภาพ ดูแลผิว อาหารและเครื่องดื่ม จะมาแรง แนะผู้ประกอบการไทยหาโอกาสใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพิ่มโอกาสขายสินค้าเจาะสหรัฐฯ


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ และให้รายงานผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับข้อมูลจากนางสาวเกษสุรีย์ วิจารณกรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงข้อควรรู้ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ปี 2566 และโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ผ่านช่องทางออนไลน์

ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ปี 2566 ว่า จะมีผู้บริโภคชาวอเมริกันกว่า 265 ล้านคน ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือคิดเป็น สัดส่วน 20.8% ของยอดการค้าปลีกทั้งหมดในสหรัฐฯ และคาดว่าสัดส่วนดังกล่าว จะเพิ่มเป็น 23% ภายในปี 2568 และ Insider Intelligence บริษัทให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ ยังคาดว่ายอดขายของตลาดอีคอมเมิร์ซจะสูงถึง 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยเทรนด์ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ที่ผู้ประกอบการไทยควรรู้ ได้แก่ สินค้าที่คาดว่าจะมีการเติบโต มากที่สุดและมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด คือ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ สัดส่วนยอดขาย 18.7% เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 15.7% สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 11.3% ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะโตมากที่สุดในช่วง 4 ปีข้างหน้า คือ สินค้าเกี่ยวข้องสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่า สัดส่วนยอดขายของสินค้าดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% และ 10.5% ตามลําดับในปี 2570


ขณะที่ พฤติกรรมชาวอเมริกันที่มีการสำรวจโดย ClearSale พบว่า เพศชายมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซมากกว่าเพศหญิง และผู้บริโภคชายอายุ 18-34 ปี กว่า 40% มีแนวโน้มซื้อสินค้าทุกประเภททางออนไลน์ แต่ผู้หญิงมีเพียง 33% ที่จะซื้อ โดยช่องทางอีคอมเมิร์ซชั้นนำ ยังคงเป็น Amazon , Walmart , Apple และ eBay แต่หมวดหมู่เจาะจงจะได้รับความนิยมและโตมากขึ้น เช่น Carvana ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขายออนไลน์รถยนต์มือสอง และเว็บไซต์ Chewy ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทุกประเภท ซึ่งด้านการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย มีชาวอเมริกันสูงถึง 96.9 ล้านคนที่ซื้อ ยอดขายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 992 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าปี 2566 จะเพิ่มเป็น 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ และการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยปี 2565 มียอดซื้อถึง 43,100 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่า ปี 2566 จะเพิ่มเป็น 51,100 ล้านเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ โดยผลสำรวจพบว่า Amazon เป็นแอปพลิเคชันบนมือถือที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ตามด้วย Shein เป็นอันดับ 2 และแอปพลิเคชันที่เป็นนิยมรองลงมา ได้แก่ Walmart , Fetch Shop , Etsy , Nike และ Temu

“ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ เป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูงในอนาคต แม้ว่าในปัจจุบันกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อผ่านทางออนไลน์ยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่คาดการณ์ว่าส่วนแบ่งตลาดของสินค้าอื่น ๆ เช่น สินค้าสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรมองหาโอกาสในการเจาะตลาดสหรัฐฯ ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าและอาจเพิ่มการนำเสนอและผลักดันสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อแนะนำและทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดสหรัฐฯ โดยอาจเพิ่มกลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าที่เน้นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคสำคัญในการเจาะตลาดผู้บริโภคสหรัฐฯเป็นต้น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผ่าไชน่า เรลเวย์ คว้า 3 โครงการรัฐในภูเก็ต

เหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม กลายเป็นปฐมบทในการปูพรมตรวจสอบบริษัท ไชน่า เรลเวย์ หลังพบเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการก่อสร้างตึก สตง. และโครงการรัฐหลายแห่งทั่วประเทศ ล่าสุดที่ จ.ภูเก็ต ตรวจพบ 3 โครงการ และหนึ่งในนั้นกำลังมีปัญหาก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน

มหาสงครามโลก

นักวิชาการชี้ “มหาสงครามโลกครั้งที่ 3” เกิดแน่ถ้าโลกยังตึงเครียด

นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศระดับแนวหน้าของไทย มีความเห็นตรงกันว่า หากผู้นำชาติมหาอำนาจไม่เร่งลดระดับความตึงเครียดสถานการณ์โลก

กู้ภัยนานาชาติ เครือข่าย USAR ถอนกำลังแล้ว

กู้ภัยนานาชาติ เครือข่าย USAR ถอนกำลังแล้ว หลังอยู่ปฏิบัติภารกิจค้นหา-กู้ชีพ สนับสนุนกู้ภัยไทย เหตุตึก สตง.ถล่ม กว่า 1 สัปดาห์

ธรรมชาติใต้ดินเปลี่ยนไป หลังแผ่นดินไหว 1 สัปดาห์

แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งแรงสั่นสะเทือนในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ แม้บนพื้นผิวดินจะไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่พบความเปลี่ยนแปลงสภาพใต้ดินจนเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งหลุมยุบขนาดใหญ่ น้ำพุร้อนที่เคยพุ่งจากใต้ดินหายไป แต่น้ำตกที่แห้งในหน้าแล้งกลับมีน้ำไหลออกมา ซึ่งนักธรณีวิทยายืนยันเป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวครั้งนี้

ข่าวแนะนำ

“ไฮโซกำมะลอ” กระโดดชั้น 3 สน.โคกคราม

“ไฮโซเก๊” โลก 2 ใบ เครียดปีนตึก หลังถูก “คะน้า” ดาราสาว ออกมาแฉกลางรายการดัง จนตำรวจต้องเข้าเกลี้ยกล่อมพาไปโรงพัก แต่ยังวิ่งหนีการควบคุม กระโดดลงมาจากชั้น 3 สน.โครกคราม บาดเจ็บ

วันที่ 11 ปฏิบัติการกู้ซากตึก สตง. ถล่ม

วันที่ 11 ของปฏิบัติการกู้ซากตึก สตง. พังถล่ม เจ้าหน้าที่เดินหน้าใช้เครื่องจักรหนักเข้า เคลียร์ซากต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนบี และซี ที่คาดว่าเป็นจุดที่มีผู้ติดค้างอยู่จำนวนมาก

ชุดค้นหาลงโพรงโซน B, C ลึก 5-6 เมตร ได้กลิ่นแรง ไม่พบผู้สูญหาย

“กู้ภัย” เผยเจาะโพรงพื้นที่โซน B และ C ได้แล้ว พร้อมส่งชุดค้นหาลงโพรงไปตรวจสอบลึก 5-6 เมตร ยังไม่พบผู้สูญหายเพิ่ม แต่ได้กลิ่นแรง เร่งเดินหน้าเครื่องจักรหนักเคลียร์ซากต่อเนื่อง ยันจะช่วยเหลือจนกว่านำร่างสุดท้ายออกมาครบ