กรุงเทพฯ 5 มิ.ย. – ซีไอเอ็มบีไทย หนุนรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชน เพื่อให้เกิดการลงทุนจากเอกชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ซีไอเอ็มบีไทยคงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ร้อยละ 3.2 โดยไตรมาส 2 โตประมาณร้อยละ 2.9 และ จะขยายตัวร้อยละ 3 ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 โดยหวังการส่งอกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากตลาดโลกฟื้นตัว คาดส่งออกขยายตัวร้อยละ 3 เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่คาดว่าขยายตัวร้อยละ 0.6 แต่เป็นห่วงการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำ 4 ปีซ้อน คาดโตเพียงร้อยละ 0.7 ลดลงจากครั้งก่อนที่คาดโตร้อยละ 1.4 ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับเอกชน โดยการส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่าโครงการของรัฐจะลงทุนต่อจนถึงรัฐบาลชุดต่อไปหลังการเลือกตั้ง
เพราะคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 ซึ่งจะช่วยให้ความมั่นใจดีขึ้น แต่หากการเมืองไม่เป็นไปตามโรดแมฟ จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นเอกชนลดลงจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำเป็นระยะเวลานานในลักษณะรูปตัว L โอกาสเศรษฐกิจไทยจะโตมากกว่าร้อยละ 4 ในช่วงปลายปี 2561 คงจะเป็นไปได้ยาก
ดังนั้นจึงได้เสนอแนะนโยบาย 3 ลด เพื่อเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. การลดขนาดภาครัฐ และเพิ่มบทบาทภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนมากขึ้น เนื่องจาก การใช้จ่ายภาครัฐต่อGDP ที่ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ17 มีความคล่องตัวน้อยกว่าเอกชน ดังนั้นควรจะเร่งเดินหน้าความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน หรือ PPP เร่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ให้เข้ามามีบทบาทซึ่งหากรัฐบาลมีรายจ่ายลดลง รัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีรายได้มาก และอาจปรับลดภาษี เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของเอกชนได้
2.การลดกฎระเบียบและเพิ่มความคล่องตัวของส่วนงานราชการให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเอกชน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในเวทีโลก ไม่เช่นนั้นแล้ว นักลงทุนต่างชาติอาจยังลังเลที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตได้ และ 3. ลดกำแพงเพื่อนบ้าน การเปิดเสรีการค้า ภาคบริการในด้านการเงิน กับหลายประเทศกับประเทศให้มากขึ้น แก้กฎหมายให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจหรือถือครองสินทรัพย์ให้มากขึ้น
สำหรับค่าเงินบาทในปัจจุบันที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ยอมรับว่า เป็นการแข็งค่าเร็วและน่าตกใจแต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจในนยโยบายของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จึงทำให้เม็ดเงินไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย แต่เชื่อว่า ในครึ่งปีหลัง เมื่อนโยบาย ทรัมป์ มีความชัดเจนจนทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และ เม็ดเงินจะไหลกลับไปที่สหรัฐตามเดิม ส่งผลให้เงินบาทช่วงปลายปีอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปีนี้ – สำนักข่าวไทย
