ทีเอ็มบีธนชาต กำไรสุทธิไตรมาส 1 /66 ที่ 4,295 ล้านบาท

กรุงเทพฯ 20 เม.ย. – ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 /66 กำไรสุทธิ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาส 1 /65 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือหนี้เสียทรงตัวในระดับต่ำที่ 2.69% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 140% สะท้อนผลการดำเนินงานตามเป้าหมาย
 
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย และสะท้อนถึงผลลัพธ์จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของทีเอ็มบีธนชาต ที่เน้นย้ำการเติบโตธุรกิจอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการนำเอาจุดแข็งจากการรวมกิจการมาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการสร้างกำไร


ขณะที่ให้ความสำคัญ การดูแลสถานะทางการเงินให้มีความแข็งแกร่ง ธนาคารดำเนินการผ่านการบริหารจัดการทุกองค์ประกอบของงบดุลทั้งด้านสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนทุนให้มีคุณภาพ ส่งผลให้ธนาคาร รักษาแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลกำไรมาตลอด 6 ไตรมาส อัตราส่วนเงินกองทุนรวมที่เพิ่มขึ้นจากระดับก่อนรวมกิจการที่ประมาณ 18% ขึ้นมาสู่ระดับ 20% ในปัจจุบัน อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพซึ่งสะท้อนถึงกันชนป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 120% มาอยู่ที่ 140% หรืออัตราส่วน LCR (Liquidity Coverage Ratio) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดด้านสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 180% จากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 100%
 
โดยในปี 2566 ตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น ด้วยการต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถแลกเงิน (ttb cash your car) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ttb cash your home) สินเชื่อ ttb payday loan และกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถ โดยจะเน้นฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการรวมกิจการ
 
สำหรับรายละเอียดผลการดำเนินงานหลักในไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารสามารถเติบโตสินเชื่อใหม่ในกลุ่มเป้าหมายได้ตามแผน นำโดยสินเชื่อรถแลกเงินและสินเชื่อบ้านแลกเงิน แต่เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้จากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เมื่อสุทธิแล้วจึงทำให้สินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 1,358 พันล้านบาท ลดลง 1.3% จากสิ้นปีที่แล้ว ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,402 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% หนุนโดยเงินฝากประจำ ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารต้นทุนเงินฝากภายใต้ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
 
ทั้งนี้ เพื่อคงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อ หลังจากที่ธปท.ประกาศปรับขึ้นอัตราเงินนำส่ง FIDF สู่ระดับก่อนโควิด-19 ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนเงินฝาก ธนาคารได้ใช้กลยุทธ์การรีไซเคิลเงินทุน หรือนำสภาพคล่องที่ได้รับจากการชำระคืนหนี้ไปหมุนเวียนใช้ปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าภายใต้กรอบความเสี่ยงที่เหมาะสม ประกอบกับหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ธนาคารได้ทยอยขยายฐานเงินฝากไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จึงทำให้ยังสามารถขยายสินเชื่อใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องเร่งขยายฐานเงินฝาก สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่อยู่ที่ 97% ณ สิ้นไตรมาส 1/66  
 
จากกลยุทธ์ด้านสินเชื่อและเงินฝากดังกล่าว รวมทั้งการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและพอร์ตการลงทุนในเชิงรุกเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจึงฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนแม้ว่ายอดสินเชื่อสุทธิจะลดลงก็ตาม ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน และเป็นปัจจัยหนุนให้รายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 6.9% จากไตรมาส 1/65 มาอยู่ที่ 16,870 ล้านบาท
 
ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับกิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและแผนการลงทุนของธนาคาร โดยธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับด้านรายได้ได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ซึ่งอยู่ที่ 43% เทียบกับ 44% ในไตรมาส 1/65 ส่งให้ผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 9,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
 
ในไตรมาส 1/66 ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ อยู่ที่ 4,276 ล้านบาท ลดลง 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อหักค่าใช้จ่ายสำรองฯ และภาษี จึงทำให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% จากปีที่แล้ว
 
ทั้งนี้ การตั้งสำรองฯ ที่ลดลงเป็นผลต่อเนื่องมาจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ตามแผน โดยอัตราส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 2.69% เทียบกับ 2.73% จากสิ้นปีก่อนหน้า ด้านกันชนป้องกันความเสี่ยงยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นจาก 132% ในไตรมาส 1/65 มาอยู่ที่ 138% ณ สิ้นปีที่แล้ว และอยู่ที่ 140% ณ สิ้นไตรมาส 1/66
 
ท้ายสุดด้านความเพียงพอของเงินกองทุน อัตราส่วน CAR และ Tier 1 (เบื้องต้น) ณ สิ้นไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 19.9% และ 16.2% สูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

คนขับแท็กซี่ตายคารถ กว่าจะรู้ผ่านไปหลายชม.

รถแท็กซี่จอดอยู่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็น มีผู้โดยสารขึ้นรถ แล้วก็ลงมา แถมถูกบีบแตรไล่ จนพ่อค้าขายข้าวโพดต้มเข้าไปเรียกพบคนขับนอนคอพับเสียชีวิต

ถอนตัวWHO

“ทรัมป์” ลงนามในคำสั่งให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิกอนามัยโลก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐกล่าววานนี้ว่า สหรัฐจะออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก โดยเขาระบุว่า องค์การอนามัยโลกดำเนินการผิดพลาดในการรับมือกับโรคโควิด-19

พิตบูลขย้ำหัวพระ

“อเมริกันบูลลี่” ขย้ำหัวพระ-กัดข้อมือหาย มรณภาพคากุฏิ

สลด! หลวงพี่ เลขาเจ้าอาวาสวัด เลี้ยงอเมริกันบูลลี่ไว้ตั้งแต่เป็นลูกสุนัข ผ่านไปปีกว่า ถูกขย้ำหัวมรณภาพคากุฏิ ข้อมือขาดหายไป ยังหาไม่พบ

ข่าวแนะนำ

ดีเอสไออนุมัติสืบสวนคดีแตงโม คาดตั้งชุดเริ่มสืบได้ 27 ม.ค.นี้

อธิบดีดีเอสไอ อนุมัติให้สืบสวนคดีแตงโม ว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ และมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ คาดเริ่มได้ 27 ม.ค.นี้

พ่อผู้ต้องหาชนไรเดอร์ กราบขอขมาครอบครัวผู้เสียชีวิต

พ่อผู้ต้องหาชนไรเดอร์ กราบขอขมาครอบครัวผู้เสียชีวิต เปิดใจกับสื่อ ลูกชายยังอยู่ในอาการช็อก เชื่อเสียใจและอยากมาขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต

นายกฯ สวมกระโปรงผ้าปาเต๊ะ ร่วมประชุม WEF อวดผ้าไทยสู่สายตาโลก

นายกฯ สวมกระโปรงผ้าปาเต๊ะ จากภาคใต้ ร่วมประชุม WEF อวดผ้าไทยสู่สายตาโลก หารือผู้นำและภาคเอกชนชั้นนำของโลก

กทม.จำกัดพื้นที่ชั้นใน ห้ามรถบรรทุกวิ่ง เริ่มคืนนี้!

ผู้ว่าฯ กทม. ติดตามสถานการณ์ฝุ่น กทม. คาดสุดสัปดาห์ระบายอากาศดีขึ้น พร้อมจำกัดพื้นที่ชั้นใน ห้ามวิ่งรถบรรทุก เริ่มคืนนี้! ย้ำประชาชนช่วยสอดส่องการลอบเผา ต้นเหตุฝุ่น PM 2.5