นนทบุรี 12 เม.ย. – สนค. เผยสินค้าพื้นบ้านกลุ่ม “ไพล” สมุนไพร Herbal Champion ของไทยหลายชนิดมีโอกาสเจาะตลาดโลกได้ ซึ่งตลาดทั่วโลกยังมีความต้องการสมุนไพรนานาชนิดเพื่อปรุงยาชนิดต่างๆ อยู่ไม่น้อย แม้สมุนไพรไทยส่งออกดีแต่หลายพื้นที่ยังปลูกน้อย แนะภาครัฐและเอกชนหาแรงจูงใจในการปลูกไพลให้ได้คุณภาพ พร้อมส่งเสริมสนับสนุนทั้งด้านการเพาะปลูก การหาตลาด การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า สนค. ร่วมกับสายงานอุตสาหกรรมและชุมชน (ICE) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ศึกษาวิเคราะห์โอกาสทางการค้าสมุนไพร “ไพล” ซึ่งไพลเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีศักยภาพในการผลักดันให้เป็นสมุนไพรแชมเปี้ยน (Herbal Champion) ตามประกาศของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยสามารถนำมาแปรรูปจากวัตถุดิบพืชสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น สารสกัด น้ำมันหอมระเหย เป็นต้น อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนผสมหรือวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ตำรับยาประสะไพล ยาหม่องไพล ลูกประคบ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย และเครื่องสำอาง
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและความงาม สะท้อนจากมูลค่าค้าปลีกสินค้าสมุนไพรที่เติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า ปี 2565 การค้าปลีกสินค้าสมุนไพรในตลาดโลก มีมูลค่ารวม 56,510 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตลาดไทยใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ของโลก รองจากจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิตาลี และไต้หวัน มีมูลค่า 1,543.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าปี 2566 จะมีมูลค่า 1,676.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 8.6
อย่างไรก็ตาม สนค. ทำการศึกษาโอกาสทางการค้าสำหรับสมุนไพรศักยภาพของไทย รวมถึง “ไพล” มีข้อจำกัดด้านข้อมูล เนื่องจากไพลมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศน้อยมาก ทำให้ไม่มีพิกัดศุลกากรที่เป็นสากล จึงขาดสถิติข้อมูลการค้าระหว่างประเทศที่จะนำมาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร เริ่มติดตามมูลค่าการนำเข้าและส่งออกไพลมาตั้งแต่ปี 2559 พบว่า ช่วงปี 2559-2564 ไทยนำเข้าไพลรูปแบบแห้งจากเมียนมา รวม 26,750 กิโลกรัม (26.75 ตัน) เป็นมูลค่า 520,106 บาท และไทยส่งออกไพลในรูปแบบแห้ง แช่เย็น และผง ไปประเทศต่างๆ อาทิ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย มีปริมาณรวม 2,171.1 กิโลกรัม (2.17 ตัน) และมีมูลค่าส่งออกรวม 383,102 บาท
ทั้งนี้ ข้อมูลการขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร พบว่า ในปี 2564 มีการปลูกไพลทั่วประเทศ 169 ไร่ แหล่งผลิตสำคัญอยู่จังหวัดกาญจนบุรี เชียงใหม่ น่าน สระแก้ว และสกลนคร มีผลผลิตรวม 507 ตัน ลดลงมากจากปี 2562 และปี 2563 ที่มีปริมาณผลผลิต 1,935 และ 1,539 ตัน ตามลำดับ จะเห็นว่าผลผลิตไพลของไทยยังมีความต้องการใช้ภายในประเทศทั้งหมด โดยการส่งออกไพลของไทยในช่วงปี 2559-2564 มีปริมาณเพียง 2.17 ตัน ราคาเฉลี่ยไพลสด 12 บาท/กิโลกรัม ไพลแห้ง 100 บาท/กิโลกรัม ไพลผง 150 บาท/กิโลกรัม และน้ำมันหอมระเหย 5,000 บาท/กิโลกรัม
นอกจากนี้จากระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-map) จังหวัดที่มีพื้นที่เหมาะสมในการปลูกไพล อาทิ บึงกาฬ กระบี่ นราธิวาส สุราษฎร์ธานี สระแก้ว และชุมพร สำหรับปัญหาสำคัญในการปลูกไพล คือ ไม่ควรปลูกไพลซ้ำที่เดิมติดต่อในปีถัดไป เนื่องจากปัญหาโรคเหง้าและรากเน่า ต้องสลับปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นก่อนการปลูกในฤดูถัดไป และหากต้องการไพลคุณภาพสูงเพื่อนำมาสกัดน้ำมัน ต้องใช้เวลาปลูกนานประมาณ 2 ปี จึงอาจทำให้เกษตรกรขาดรายได้และไม่มีแรงจูงใจในการปลูกไพลให้ได้คุณภาพ ซึ่งภาครัฐต้องให้การส่งเสริมสนับสนุนทั้งด้านการเพาะปลูก การหาตลาด การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม สินค้าไพลหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของไพล หากได้รับการส่งเสริมที่ดี มีโอกาสพัฒนาและสร้างมูลค่าให้สูงขึ้นอีกมาก ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา ชุมชน และเกษตรกร ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่การผลิตที่เป็นวัตถุดิบต้นน้ำ ให้ได้คุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ การเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรกับผู้รับซื้อ เพื่อให้เกษตรกรมีแหล่งรับซื้อที่แน่นอนและได้รับราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม ส่งเสริมการแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการวิจัยและพัฒนา นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ สร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณสำหรับศึกษาประสิทธิภาพระดับคลินิก และการต่อยอดผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับไพลให้มากยิ่งขึ้น เช่น การมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย รวมทั้งประโยชน์ด้านสุขภาพและความงาม เพื่อสามารถผลักดันให้ไพลเป็นสมุนไพรที่แข็งแกร่งได้ต่อไป.-สำนักข่าวไทย