กรุงเทพฯ 4 เม.ย.-ประธาน สรท.ระบุหลายปัจจัยยังเป็นตัวฉุดให้ภาคการส่งออกของไทย 2 เดือนแรกปี 66 ยังหดตัว ฝากรัฐบาลใหม่กระตุ้นส่งออกทุกด้าน โดยเฉพาะดูแลต้นทุนด้านการผลิตทั้งค่าไฟฟ้าและดูแลความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนให้นิ่ง ย้ำสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการดันการส่งออกปีนี้ไม่ติดลบแต่บวกเพียง 1-2% เท่านั้น
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงข่าวร่วมกับ นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน และนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร ระบุว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 22,376.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 4.7% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 730,123 ล้านบาท หดตัวตัว 5.3% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์หดตัว 0.05%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 23,489.7 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 1.1% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 776,425 ล้านบาท ขยายตัว 0.5% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ขาดดุลเท่ากับ 1,113.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 46,301 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ของปี 2566 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 42,625.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 4.6% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ1,430,250 ล้านบาท หดตัว 3.2% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงมกราคม – กุมภาพันธ์ หดตัว 1.4%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 48,388.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3.3% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 1,647,855 ล้านบาท ขยายตัว 5.0% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2566 ขาดดุลเท่ากับ 5,763.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 217,605 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สรท. คงคาดการณ์การส่งออกรวมทั้งปี 2566 เติบโตระหว่าง 1-2% (ณ เดือนเมษายน 2566) โดยมีปัจจัยปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2566 ได้แก่ 1) ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 1.1) ปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การแบ่งขั้วทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดสงครามทางการค้า เทคโนโลยี มาตรการกีดกันทางการค้า และ ต้นทุนราคาพลังงานโลกมีความผันผวนตามสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า และภาวะเงินเฟ้อ 1.2) ปัญหาการขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินในสหรัฐฯและยุโรปที่หากลุกลามอาจทำให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยสูงขึ้น
ทั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้อุปสงค์การนำเข้าสินค้าปรับลดลงต่อเนื่อง 2) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI ในเดือน มี.ค. ที่หดตัวรุนแรง โดยเฉพาะกิจกรรมภาคการผลิตในกลุ่มยูโรโซนขณะที่ PMI ของสหรัฐ หดตัวน้อยลงในเดือนมีนาคม (mom) เป็นผลจากปัญหาอุปทานค่อนข้างกระจุกตัว สินค้าคงคลังยังคงทรงตัวในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม สรท.อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่ โดย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญประกอบด้วย 1) ขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาควบคุมหรือปรับขึ้นค่าไฟฟ้า (FT) ทั้งในภาคการผลิตและภาคครัวเรือนให้อยู่ระดับที่เหมาะสมเพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระด้านต้นทุนให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาระดับราคาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดและกำลังซื้อของผู้บริโภค 2) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนเกินกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย รวมถึงทบทวนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพิ่ม Local Currency เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าของไทย 3) พิจารณามาตรการสนับสนุนเพื่ออุดหนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี ในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์(Solar), พลังงานหมุนเวียน (Renewable) และพลังงานชีวมวล (Biomass) เป็นต้น .-สำนักข่าวไทย