กรุงเทพฯ 3 เม.ย.- DELTA กดตลาดหลัง ตลท. สั่งใช้ Cash Balance แม้กลุ่มพลังงานบวกจากโอเปกพลัสลดกำลังผลิต นักวิชาการ-โบรกเกอร์ระบุ ช่วงหาเสียงเลือกตั้งแม้ผลบวกเงินสะพัด แต่อยากเห็นนโยบายสร้างขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ และหวั่นงบฯ67 ล่าช้า
ดัชนีตลาด “หุ้นไทย” เปิดตลาดเช้าวันนี้ (3 เม.ย.) อยู่ที่ 1,604.40 จุด ปรับตัวลง 4.77 จุด หรือ 0.30% และเมื่อเวลา 12.17 น. หุ้นไทยติดลบ 11.36 จุด อยู่ที่ 1,597.81 จุดปัจจัยที่จะเข้ามาถ่วงตลาด เป็นหุ้น DELTA หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งใช้ Cash Balance
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สั่งให้นำหุ้น DELTA เข้ามาตามการกำกับการซื้อขาย ในระดับที่ 1 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance เริ่ม 03 เม.ย. ถึงวันที่ 21 เม.ย.
อย่างไรก็ตาม DELTA ชี้แจ้งผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ โดยระบุว่า เนื่องจากพบว่าสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากวันก่อนหน้า เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและหรือผู้ลงทุนได้มีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างครบถ้วน ชี้แจงว่า 1. บริษัทมีพัฒนาการใดๆ ที่ยังไม่ได้เปิดเผย หรือสารสนเทศที่มีนัยสำคัญที่บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาและอาจเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะเวลาอันใกล้ เช่น การเพิ่มทุน การร่วมทุน การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน หรือข้อพิพาทที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขายที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ : ไม่มี
2. บริษัททราบถึงสาเหตุอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหรือไม่ : ไม่ทราบ
3. สารสนเทศอื่นที่บริษัทต้องการชี้แจง (ถ้ามี) : ไม่มี หากมีข้อมูลพัฒนาการทางธุรกิจที่สำคัญเกิดขึ้น บริษัทฯ ยึดมั่นในแนวทางการเปิดเผยสารสนเทศอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ข้อมูลต่อผู้ลงทุนและสาธารณชนอย่างทั่วถึง
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองการเข้ามาตรการกำกับการซื้อขายของ DELTA อาจทำให้ Volume การซื้อขายของตัวหุ้นลดลงในระยะสั้นไปบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นทำให้ตัวหุ้นถูกถอดออกจากคำนวณดัชนี SET50/SET100 ในรอบถัดไป (H2/66) เนื่องจากหากคำนวณข้อมูลล่าสุดจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจะพบว่าตัวหุ้นผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเรียบร้อยหมดแล้ว
ดังนั้นหากจะมีความเสี่ยงในประเด็นดังกล่าว จะไปเกิดขึ้นตอนประกาศผลการคัดเลือกสำหรับรอบครึ่งปีแรกของปี 67 แทน เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการตอกย้ำปัญหาของการลดเกณฑ์ Turnover ratio ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงเหลือขั้นต่ำ 2% ตามที่เคยคาดไว้
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผอ.อาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่าระยะสุ้นDELTA กดดันตลาด แต่หุ้นกลุ่มพลังงานจะได้ผลบวก จาก กลุ่มประเทศสมาชิก OPEC+ (รวมประเทศสมาชิก OPEC และพันธมิตร เช่นรัสเซีย) ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมรวม 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (เทียบเท่าประมาณ 1% ของอุปทานน้ำมันโลก) ตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ จนถึงสิ้นปี 66 ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในช่วงหาเสียง และนักท่องเที่ยวข้ามาไทยเพิ่มขึ้น ความกังวลวิกฤติธนาคารในสหรัฐ-ยุโรป ลดลง ดังนั้น เดือน เมษายนนี้ จึงมองว่าหุ้นไทยจะอยู่ในโหมด ฟื้นตัว
ทั้งนี้ ตามสถิติ ช่วงเลือกตั้งหุ้นจะบวกประมาณ 2% และหลังเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ช่วงฟอร์มทีมรัฐบาลหุ้นจะบวกขึ้นอีก2% แต่หลังจากนั้นหากรัฐบาลใหม่ไม่ชัดเจน มีผลต่อการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2567 ล้าช้า เหมือนกับการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมาที่งบฯล่าช้าถึง 5 เดือน นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกก็มีความเสี่ยงถดถอย ในส่วนนี้ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง รวมไปถึงกระทบมายังดัชนีหุ้นไทยด้วย
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่าในช่วงเลือกตั้งคาดกันว่าจะมีการใช้เงินหาเสียง 9.6 หมื่นล้านบาทก็คาดว่าจะทำให้เงินสะพัดได้บ้างแต่ก็ไม่ได้มากเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับมูลค่าจีดีพีประทศที่ 14.2 ล้านล้านบาท โดยภาพรวมแล้วเมื่อดูนโยบายหาเสียงในขณะนี้ก็จะเน้นเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่หวังดึงดูดคะแนน ข้อดี เป็นนโยบายที่ใช้ได้ทันทีหากมีการดำเนินการ ก็กระตุ้นเม็ดเงินลงระบบเศรษฐกิจได้ แต่จะสร้างปัญหาสเถียรภาพ การคลังตึงตัว เพราะปัจจุบันไทยก็มีปัญหา หนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินฟื้นฟูโควิด-19 เพดานหนี้ขณะนี้กว่า60%ของจีดีพีและได้ขยายกรอบเป็น70 %ไปแล้ว
นอกจากนี้ ภาพรวมแล้วเม็ดเงินก็ไม่ได้กระตุ้นขีดควาสามารถการแข่งขั้นของประเทศที่ขณะนี้ไทยอยู่อันดับท้ายๆของอาเซียน เพราะไม่ได้พัมนาโครงสร้างพื้นฐานเสริมแกร่งความสามารถทางการแข่งขันแต่อย่างใด โดยหากดูกรอบงบฯ ส่วนใหญ่ 76% เป็นงบประจำ ส่วน4% เป็นงบฯอื่นๆ เช่นการจ่ายหนี้ เหลือเป็นงบลงทุนเพิ่มพัฒนาศักยภาพประเทศ20% โดยภาพรวมแล้วก็ยังไม่เห็นนโยบายพรรคที่เด่นชัดในเรื่องเหล่านี้ มีเพียงพูดในรูปแบบนามธรรมเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย