BTS ยืนยันไม่เคยฮั้วประมูลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีเขียว

กรุงเทพฯ 14 มี.ค.- “คีรี กาญจนพาสน์” นำทีมผู้บริหาร BTS ชี้แจงไม่เคยฮั้วประมูลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ย้ำทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน ชี้ ป.ป.ช. ปล่อยเอกสารหลุดผิดปกติ เชื่อเกี่ยวข้องประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม 


นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือรถไฟฟ้า BTS พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฯ และ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการฯ ร่วมกันแถลงชี้แจงข้อเท็จจริง กรณี ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด 

ผู้บริหารรถไฟฟ้า BTS ผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคม และอดีตผู้ว่ฯ กทม. รวม13 ราย กระทำการทุจริตในสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท อ่อนนุช-แบริ่ง, สายสีลม ตากสิน-วงเวียนใหญ่ และต่อสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าเส้นทางหมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 ออกไปอีก 13 ปี เพื่อให้ทั้ง 3 เส้นทางสิ้นสุดพร้อมกันในปี 2585


นายสุรพงษ์ ระบุว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น BTS ยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีแต่อย่างใด ยืนยันว่าที่ผ่านมาบริษัททำสัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีการฮั้วประมูลใดๆ 

นายสุรพงษ์ยังชี้แจงสรุปว่า สัญญาว่าจ้างที่เกิดขึ้นไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพราะมีการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนตามกฎหมายแล้ว แต่ไม่มีคนมาประมูล เพราะเอกชนต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเองทั้งหมด จึงมีการเสนอให้ ครม. ในปี 2543 พิจารณา และเป็นจุดเริ่มให้มีการเจรจาจ้างตรงผ่านความเห็นชอบของ ครม.

จากนั้น กทม. ได้ทำการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนทำสัญญาว่าจ้างการเดินรถ กับบีทีเอส โดย กทม. มีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว มีคำวินิจฉัยว่าการว่าจ้างดังกล่าวไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุน และมีการลงนามร่วมกันในปี 2555 ต่อมามีผู้ร้องเรียนไปที่ DSI ทำการสอบสวนเรื่องดังกล่าว กระทั่งได้ข้อสรุปในปี 2556 ว่าบีทีเอสไม่มีความผิด ขณะที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง


ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ ระบุว่า เรื่องดังกล่าวมีการนำเอกสารซึ่งเป็นรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นเอกสารลับมาเผยแพร่โดยมิชอบ ซึ่งส่งผลต่อสำนวนการสอบสวน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดการไต่สวนเรื่องดังกล่าวซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2555 วันนี้ครบ 11 ปีแล้ว จึงเพิ่งถูกหยิบยกมาพิจารณา เหตุใดใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนยาวนานขนาดนี้ และการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวมาเกิดขึ้นในช่วงที่นายคีรีกำลังต่อสู้เรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

ขณะที่การนำเอกสารลับดังกล่าวมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ผลการสอบสวนแจ้งข้อหาผู้เกี่ยวข้องผ่านมา 2 เดือนแล้ว ส่งผลให้หุ้นของบริษัท BTS ราคาปรับตัวต่ำติดฟลอร์ จึงตั้งคำถามว่าต้องการทำลาย BTS หรือไม่ และประธาน ป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

ด้านนายคีรี ระบุว่า รู้สึกแปลกใจที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินคดี เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ตนประมูลการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยมีอำนาจบางอย่างใช้เรื่องนี้เป็นชนักปักหลังให้ตนหยุดเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม พร้อมระบุว่ามีขบวนการที่ต้องการสร้างความเสียหายให้กับ BTS ถึงขนาดล้มละลาย เริ่มตั้งแต่การไม่จ่ายเงินค่าจ้างเดินรถและค่าระบบจำนวนกว่า 4 หมื่นล้านบาท จนต้องฟ้องศาลบังคับ แม้ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ชำระหนี้แล้วแต่ถึงวันนี้ยังไม่มีการชำระ ปล่อยให้ยอดเงินเพิ่มเป็นเกือบ 50,000 ล้านบาทแล้ว แต่ยืนยันว่าจะพยายามทุกวิถีทางในการไม่หยุดเดินรถ หรือเอาประชาชนเป็นตัวประกัน

นายคีรียังยืนยันด้วยว่า ไม่กลัวเรื่องการต่อสู้ทางคดี เพราะตนเป็นนักสู้ สู้เพื่อระบบโครงสร้างพื้นฐานของประชาชนมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว และทำงานบนพื้นฐานความถูกต้องชอบธรรม พร้อมฝากไปถึงภาครัฐว่าเอาแต่ได้หรือไม่ เพราะเก็บเงินค่าโดยสารส่วนต่อขยายทุกวัน แต่กลับจะให้เอกชนควักทุนในการเดินรถ ไม่ยอมจ่ายเงิน หากข่าวนี้เผยแพร่ออกไปทั่วโลกจะสร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุนได้ พร้อมย้ำว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีน่าลงทุนมาก แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับบริษัทของตน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กลุ่มพนักงานรถไฟฟ้าบีทีเอส นำโดยนายเศกศักดิ์ หุ่นสะอาด รวมตัวกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  เพื่อให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้สินจากการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว

ทั้งนี้ รถไฟฟ้าบีทีเอสให้บริการมา 20 กว่าปี โดยไม่เคยหยุดการเดินรถ แต่วันนี้พนักงานที่หยุดงานได้ใช้วันหยุดพร้อมใจกันมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นคำขาดให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินในการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่ง บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นคู่สัญญากับ บมจ.กรุงเทพธนาคม (KT) ทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่สอง 2 และ 3 ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช. มีคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2562 เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับหนี้บริการสาธารณะ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้กว่า 4 ปีแล้วหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น KT หรือหน่วยงานใดก็ตาม ไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี แม้บริษัทจะฟ้องศาลปกครองจนมีคำสั่งให้จ่ายเงินแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่จ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถสะสมจะทำให้ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน และการใช้จ่ายของบริษัท และทำให้พนักงานทั้งหมดกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานพนักงานในอนาคต แม้ขณะนี้บริษัทจะยังมีเงินจ่ายพนักงานได้ตามปกติก็ตาม ดังนั้น จึงขอให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลนี้ก่อนการยุบสภาฯ เพราะกังวลว่าหากยุบสภาฯ และหากรัฐบาลใหม่จะไม่ดำเนินการแก้ปัญหา.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]