กรุงเทพฯ 13 มี.ค. – ตลท. เชื่อ 2 แบงก์สหรัฐล้มละลาย กระทบตลาดทุนไทยไม่มากนัก ชี้ธนาคารพาณิชย์ไทยแข็งแกร่ง ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลต่ำ แนะผู้ลงทุนกระจายลงทุน ป้องกันความเสี่ยง
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีทางการสหรัฐสั่งปิดกิจการ ซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี และซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank : SVB) ซึ่งเป็นธนาคารที่เชี่ยวชาญด้านการจัดหาเงินทุนให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ หลังจากประสบปัญหาสภาพคล่อง และล้มเหลวในการขายหุ้นเพื่อเพิ่มทุนธนาคารจนทำให้ลูกค้าต่างพากันแห่ถอนเงินฝาก ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกนั้น มองว่าไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อตลาดทุนไทยมากนัก เหตุผลหลัก 2 ประการคือ ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแรงมากโดยมีทุนออมโดยเฉลี่ย 18-19 % สูงที่สุดของโลก และเงินที่มาจากกลุ่มธุรกิจกองทุนร่วมลงทุน venture capital และคริปโตเคอเรนซี มีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระบบเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไทยอาจมีผลกระทบบ้างจากการที่สภาพคล่องในตลาดโลกลดลง เนื่องจากขณะนี้มีหลายธนาคารยังไม่สามารถเบิกถอนได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นผลกระทบทางอ้อม อย่างไรก็ตามทาง ตลท. ได้มีการเตรียมข้อมูลไว้แล้ว หากมีความจำเป็นก็พร้อมเข้าไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับธปท.
“สิงสำคัญที่สุดคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การทำให้ประชาชนผู้ฝากเงินไม่มีความกังวล กรณีที่เกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของการลงทุน (Concentration Risk) การลดลงของสภาพคล่อง เป็นเรื่องที่คนอาจจะยังได้ข้อมูลไม่ครบ จนเกิดความตระหนก แล้วไปถอนเงิน นี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ เป็นการรับฝากเงินระยะสั้นแล้วไปปล่อยกู้ระยะยาว ดังนั้น สิ่งที่ป้องกันความเสี่ยงคือการกระจายฐานเงินฝาก มีระยะเวลาปล่อยกู้และการลงทุนให้เหมาะสม ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยมีความเข้มแข็ง ไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้” นายภากร กล่าว
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า สาเหตุที่มีการสั่งปิดกิจการ เกิดจากลูกค้ากลุ่มกองทุน venture capital ของธนาคาร เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อต้องการเพิ่มสภาพคล่อง จึงถอนเงินจากธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารต้องขายพันธบัตรในราคาต่ำลงมากเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้ขาดทุน ขณะที่ธนาคารอื่นๆในสหรัฐพบว่ามีลูกค้าในกลุ่มลักษณะเดียวกันนี้ไม่กี่แห่ง
อยางไรก็ตาม มองว่าไม่กระทบกับธนาคารพาณิชย์ในไทย ลูกค้าธนาคารในไทยมีการกระจายการลงทุนหลายรูปแบบ โดยดูพื้นฐานความเสี่ยงเป็นสำคัญ ต่างจากลูกค้าธนาคารในสหรัฐ โอกาสที่จะเกิดวิกฤตเดียวกับทั้งสองธนาคารเกิดขึ้นได้ยาก และแม้จะเป็นธนาคารขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับระบบธนาคารสหรัฐทั้งหมด และอีกประการคือตัวเลขจีดีพีของสหรัฐยังถือว่าแข็งแกร่ง ดังนั้น คาดว่าจะยังไม่กระทบมาถึงการนำเข้าส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลต่อดอกเบี้ยระยะสั้น ได้ แต่ทางการของสหรัฐ โดย FDIC ก็เข้ามาควบคุมดูแลแล้ว.-สำนักข่าวไทย