กรุงเทพฯ 20 ก.พ.- กลุ่มบริษัทบางจาก เผยผลการดำเนินงานปี 2565 มี EBITDA 44,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 กำไร 12,575 ล้านบาท นับเป็นผลการดำเนินงานสูงสุดในรอบเกือบ 4 ทศวรรษ
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจากสร้างสถิติใหม่ในปี 2565 ด้วยผลการดำเนินงานสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 312,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 จากปี 2564 คิดเป็น EBITDA 44,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีกำไรสำหรับงวดปี 2565 ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 12,575 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 65 จากปี 2564 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.89 บาท (ไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท EBITDA 6,951 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวดส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 473 ล้านบาท) โดยหลัก ๆ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจโรงกลั่นฯ และการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ แสดงถึงความสำเร็จจากการขยายและปรับเปลี่ยนธุรกิจให้หลากหลายและสมดุล โครงสร้างองค์กรที่คล่องตัวและการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 17,864 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 91 เทียบกับปี 2564 มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ในระดับ 123,000 บาร์เรลต่อวันตลอดทั้งปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปี 2564 ค่าการกลั่นพื้นฐานเพิ่มขึ้น 9.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 4.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 มาเป็น 14.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 เนื่องจาก Crack Spread ของทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี มีการรับรู้ขาดทุนจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าและ Inventory Gain ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวนปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 สำหรับธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCPT เติบโตต่อเนื่อง มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปีก่อน และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของธุรกรรมกับคู่ค้าที่อยู่ภายนอกกลุ่มบริษัทบางจากมากขึ้น
กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,909 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปี 2564 อีกทั้ง การเปิดประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 148 จากปีก่อนหน้า
ส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมในปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 16.4 เทียบกับร้อยละ 16.2 ในปี 2564 (ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน) ณ สิ้นปี 2565 มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1,343 สถานี และธุรกิจ Non-Oil ร้านกาแฟอินทนิลมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,002 สาขา
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 6,400 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 53
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 617 ล้านบาทในปี 2565 ปรับลดร้อยละ 67 จากปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายการพิเศษในไตรมาส 3 ปี 2564 (กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน) ทั้งนี้ การดำเนินงานโดยปกติปรับลดลงเนื่องจากธุรกิจเอทานอลมีปริมาณขายลดลงและธุรกิจไบโอดีเซลปริมาณขายลดลงจากการที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ประกาศปรับส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B10 เป็น B5 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 17,625 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 114 ผลการดำเนินงานเฉพาะของ OKEA ปี 2565 EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 จากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว และราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ส่วนปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมี EBITDA 6,951 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 39 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับลดลง ส่งผลให้ มี Inventory Loss 4,003 ล้านบาท นอกจากนี้ธุรกิจของ OKEA ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยฤดูหนาวและระดับสต๊อกก๊าซธรรมชาติของยุโรปที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ไตรมาส 4 ปี 2565 มีกำไรสำหรับงวดส่วนของบริษัทใหญ่ 473 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.26 บาท
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าปี 2566 เป็นอีกปีที่มีความท้าทายจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้า อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเป็นฐานที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทบางจากในการเดินหน้าต่อไป โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท เอสโซ่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ยกระดับการดำเนินธุรกิจและความเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จากพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงของพลังงานและขยายการลงทุนไปสู่พลังงานแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน หรือธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต โดยรักษาสมดุลที่ดีระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน การเข้าถึงพลังงาน และความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 1.25บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น โดยวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 7 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2566 .-สำนักข่าวไทย