กรุงเทพฯ 20 ก.พ.- GC ประกาศทิศทางการดำเนินงานปี 2566 มุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน จากแนวคิด “ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี” ที่จะตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิตต่อยอดไปสู่แนวคิด “ดีขึ้นเพื่อคุณ ดีขึ้นเพื่อโลก” พร้อมคาดปริมาณการผลิตปีนี้โตขึ้นร้อยละ 15 จากการลงทุนปีที่แล้ว ยืนยันมีความแข็งแกร่งทางการเงินโดยไม่ต้องออกหุ้นกู้เพิ่ม รวมถึงมีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GC ประกาศทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2566 มุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน จากแนวคิด “ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี” ที่จะตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิตต่อยอดไปสู่แนวคิด “ดีขึ้นเพื่อคุณ ดีขึ้นเพื่อโลก” สะท้อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมเคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น สำหรับวันนี้และอนาคต พร้อมคาดปริมาณการผลิตปีนี้จะเติบโตขึ้นร้อยละ 15 จากโครงการและการลงทุนต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ เช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่กลับมาเดินเครื่องเต็มที่หลังปิดซ่อมบำรุง การลงทุนใน allnex โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ของบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) รวมถึง โครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade
ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศของจีน ส่วนต่างต้นทุนดีขึ้น ทิศทางของอุตสาหกรรมปลายทางก็มีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ สิ่งทอ และการก่อสร้าง โดยรวมภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะการเปิดประเทศของจีน ซึ่งจะช่วยหนุนความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น ขณะที่ EBITDA ปีที่แล้ว-2573 บริษัทฯ ยังตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ยปีละ 4% แต่ทั้งนี้ยังมีความเสี่ยงเรื่องการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานจนนำไปสู่ผลกระทบการขาดทุนสตอกน้ำมันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็ไม่ประมาท มีการเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจัดทำคู่มือการประกันความเสี่ยงของบริษัทที่เข้มแข็งขึ้น โดยมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว หลังปี 2565 ที่ผ่านมาต้องเจอปัจจัยภายนอกหลายปัจจับทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน กำลังการผลิตใหม่ในตลาดปิโตรเคมี รวมถึงแผนการหยุดซ่อมบำรุงประจำปี ซึ่งส่งผลให้บริษัทขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท (-119% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)
ในปี 2566 บริษัท ตั้งงบฯ การลงทุนไว้ที่ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 10,000 ล้านบาท เพื่อขยายการเติบโตของธุรกิจควบคู่กับแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยวงเงินลงทุนดังกล่าว ยังไม่รวมแผนการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาแผนการเข้าลงทุน 2 โครงการในสหรัฐ ได้แก่ โรงงานผลิตพลาสติกรีไซเคิล และโครงการท่าเรือขนส่งก๊าซฯ ในสหรัฐ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์เรื่องการลดภาวะโลกร้อน
โดยตั้งเป้าทิศทางขับเคลื่อนธุรกิจใช้กลยุทธ์ 3 Steps Plus : Step Change, Step Out, Step Up โดยมี allnex เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มสร้างการเติบโต มีความแข็งแกร่งทางการเงิน รวมถึงมีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก Step Change ความก้าวหน้าโครงการในปี 2566 เช่น โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่
2 สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น คาดเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2566 โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนสายการผลิตที่ 4 ของบริษัท HMC Polymers กำลังการผลิต250,000 ตันต่อปี เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์เมื่อธันวาคม 2565 /โครงการก่อสร้างโรงงานไบโอพลาสติก PLA แห่งที่ 2 กำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ของบริษัท NatureWorks ที่จังหวัดนครสวรรค์ คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2567
Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ allnex เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยการปรับองค์กรตั้งหน่วยงานธุรกิจต่างประเทศขึ้น เพื่อต่อยอดการเติบโตของบริษัทฯ มุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคภายใต้เมกะเทรนด์โลก และเตรียมสร้าง Thailand Innovation Hub ที่จะเป็นศูนย์วิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยให้กับ allnex เพื่อการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย Step Up ภาพรวมของแผนลดการปลดปล่อยคาร์บอน โดยมีแผนการดำเนินงาน Roadmap เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายลดการปลดปล่อยคาร์บอนในปี 2573
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 678,267 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 มีกำไรจากการดำเนินงาน อยู่ที่ 18,984 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังประสบความสำเร็จด้านการเงิน โดยการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่ ในเดือนมกราคม 2565 หุ้นกู้สกุลเงินหรียญสหรัฐ จำนวน 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนมีนาคม 2565 ออกและจำหน่ายหุ้นกู้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี ในเดือนกรกฎาคม 2565 ลงนามสัญญาเงินกู้กับธนาคารพาณิชย์ จำนวน 27,000 ล้านบาท ในเดือนกันยายาม 2565 และเงินกู้ระยะยาว แบบ Sustainability-Linked Loan เป็นครั้งแรก วงเงิน 15,000 ล้านบาท เป็นเงินกู้สนับสนุนการดำเนินการด้านความยั่งยืนของบริษัท ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปลงทุนเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องออกหุ้นกู้เพิ่มในปีนี้.-สำนักข่าวไทย