กรุงเทพฯ 16ก.พ.-บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ทำสถิติใหม่ ปี 65กำไร 12,098 ล้านบาท โต 37% คาดปี 66 รายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% ทั้งธุรกิจใหม่-โรงไฟฟ้าเดินหน้าตามแผน
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 โดยหลักจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP โครงการที่ 2 ภายใต้ IPD ได้แก่ โครงการ GPD หน่วยที่ 1 และ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (1,200 เมกะวัตต์)
หลังจากนี้ GULF จะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Greenhouse Gas Emissions) จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจากปัจจุบัน 9% เป็น 40% ภายใน 10 ปีข้างหน้า มาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ยุโรป อเมริกา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนปากแบง (Pak Beng) และเขื่อนปากลาย (Pak Lay) นั้น คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแ กฟผ. ภายในไตรมาส 1/2566
สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ร่วมลงทุนกับ Binance นั้น ได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กับทาง กลต. เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาส 1/2566 และสำหรับธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ GULF ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2568
นอกจากนี้ GULF อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจ Virtual Banking เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้วย ในเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 41.13% ใน THCOM จาก INTUCH โดยเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจดาวเทียม (Satellite) ไปในธุรกิจ New Space Economy เช่น การนำข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite) เป็นต้น
GULF แจ้งว่า ในปี 2565 มีรายได้รวม (Total Revenue) 101,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จาก ปี 2564 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 12,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% มีกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2565 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 11,418 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจาก 33.59 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2564 เป็น 34.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
สำหรับกำไรปี 65 ปัจจัยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ที่เปิดดำเนินการในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ในประเทศโอมาน โรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 184 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมง เป็น 352 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาส 3/2565 และจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีขึ้นจาก 8.5 เมตร/วินาทีในปี 2564 เป็น 9.1 เมตร/วินาทีในปี 2565
นอกจากนี้ ในปี 2565 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ ภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ที่เข้าลงทุนในเดือนกรกฎาคม 2565 จำนวน 324 ล้านบาท รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH และกำไรจากการซื้อ THCOM รวมทั้งสิ้น 4,656 ล้านบาท
ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 65 เท่ากับ 20.6% ลดลงจาก 27.6% ในปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 266.02 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2564 เป็น 494.78 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 86% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.5518 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2564 เป็นเฉลี่ยที่ 0.3986 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2565 อย่างไรก็ดี เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึง 86% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (pass through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าไปยัง กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 14% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น.-สำนักข่าวไทย