กรุงเทพฯ 8 ก.พ. -IRPC คาดการณ์ปี 66 ภาพรวมธุรกิจปรับตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี เตรียมพร้อมรับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เพิ่มความระมัดระวังความผันผวนของราคาพลังงาน
นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่าปี 2565 นับเป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก จากสถานการณ์ผันผวนภายนอกหลากหลายด้านพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นความยืดเยื้อของความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ นโยบาย Zero-Covid ในประเทศจีน อัตราเงินเฟ้อทั่วโลก วิกฤตพลังงาน ส่งผลให้ราคาพลังงานและวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รวมถึงส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลงอย่างมาก ส่งผลประกอบการปี 2565 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ 4,364 ล้านบาท มีรายได้จากการขายสุทธิ จำนวน 318,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับปี 2564
จากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมากที่เฉลี่ย 96.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากปี 2564 ราคาเฉลี่ยที่ 69.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ปริมาณขายลดลงร้อยละ 8 โดยมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 175,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงร้อยละ 9 จากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่นตามแผน (Major Turnaround) ในไตรมาส 4/2565 ประมาณ 1 เดือน ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลงและต้นทุน Crude Premium สูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตราคาตลาด (Market GIM) จำนวน23,761 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20
อย่างไรก็ดี ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบช่วงปลายปี ส่งผลให้บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Loss รวม 6,348 ล้านบาท หรือ 2.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับปีก่อนที่มี Net Inventory Gain 11,104 ล้านบาท หรือ 4.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 17,413 ล้านบาท หรือ 7.75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 23,279 ล้านบาท หรือ 10.29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ปี 2566 นั้น คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะสูงขึ้นเท่ากับช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบส่วนใหญ่ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ผลิตกลุ่มโอเปกและพันธมิตรมีนโยบายปรับลดการผลิตลงเดือนละ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันไปถึงสิ้นปี2566 เพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ในปี 2566 คาดว่าความต้องการของตลาดจะเติบโตร้อยละ1.5-2.0 โดยเฉพาะความต้องการจากจีนตามนโยบายเปิดประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนจากภาครัฐ และส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
“ปี 66 ภาพรวมธุรกิจปรับตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี บริษัทจึงเตรียมพร้อมรับความท้าทาย เพิ่มความระมัดระวังความผันผวนของราคาพลังงาน และอื่นๆ โดยจัทำกลยุทธ์รับการเปลี่ยนแปลง พร้อมปรับตัวเตรียมพร้อมกับข้อจำกัดทางการค้าในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 20% ภายในปี 2573 จากปีฐาน 2561 และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2603” นายกฤษณ์ กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 1,430 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 เมษายน 2566 ต่อไป.-สำนักข่าวไทย