กรุงเทพฯ 6 ก.พ. – กฟผ.ยืนยันคุณภาพไฟฟ้าของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าเป้าหมาย พร้อมมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีผลิตและส่งไฟฟ้าสู่พลังงานสีเขียวที่มั่นคง รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ล่าสุดจับมือ ไฟฟ้าลาว เดินหน้า 3 ธุรกิจ
นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า จากทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กฟผ.มุ่งเน้นการสร้างความสมดุลทั้งด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยการผลิตไฟฟ้าที่ผสมผสานเชื้อเพลิงจากทรัพยากรที่หลากหลาย (Generation Mix) ภายใต้ต้นทุนที่ถูกที่สุดก่อนต้นทุนแพงขึ้นมา ราคาพอแข่งขันได้ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ช่วยเสริมสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุน
ด้วยการเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านโครงการหลัก คือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ ร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเขื่อนของ กฟผ. หรือโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) ลดความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน ควบคู่กับการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) สามารถรองรับการนำพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงมีความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าในภาพรวม อาทิ การจัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบแบตเตอรี่และไฮโดรเจน เสริมความเชื่อมั่นในคุณภาพของไฟฟ้าด้วยผลสำรวจดัชนีคุณภาพบริการไฟฟ้าที่ดีของไทยโดยธนาคารโลก (World Bank) ที่เผยค่าเฉลี่ยความถี่ที่ไฟฟ้าดับ (SAIFI) และค่าเฉลี่ยระยะเวลาไฟฟ้าดับ (SAIDI) อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าเป้าหมายมาโดยตลอด
นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับ Roadmap ของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจก ที่มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใน ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายใน ค.ศ. 2065 กฟผ.จึงดำเนินภารกิจภายใต้กลยุทธ์ Triple S (Sources, Sink and Support) และร่วมกับพันธมิตรผลักดันพื้นที่ที่มีศักยภาพสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านพลังงานสะอาด เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศไทยไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน 100% หรือ RE100 ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย อาทิ “Green Kan Model” ของจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่ ทั้งเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ โดยมีแผนต่อยอดโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 1,100 เมกะวัตต์ รวมทั้งยังมีศักยภาพเสริมความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage Hydro Power) ของเขื่อนวชิราลงกรณ เพื่อให้สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับพื้นที่จังหวัดลำปาง ซึ่งมีศักยภาพทั้งการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนพื้นดินและเชื้อเพลิงชีวมวลอีกด้วย (Mae Moh Model)
ปัจจุบัน กฟผ.อยู่ระหว่างทดสอบกลไกการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ภายใต้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก (Utility Green Tariff) ที่สามารถระบุที่มาของแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลไกซื้อขายพลังงานไฟฟ้าสีเขียวของภาคนโยบายให้ได้มาตรฐานสากล และอำนวยความสะดวกให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว เพื่อช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนจากมาตรการภาษีคาร์บอนข้ามแดน ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยอันดับความน่าเชื่อถือของ กฟผ. ในระดับสากลที่ระดับ BBB+ (Fitch Ratings) และความสามารถในการจัดหาและให้บริการพลังงานสีเขียวที่ตอบโจทย์ทิศทางอุตสาหกรรมทั่วโลก
สำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายจันทะบูน สุกอาลุน ผู้อำนวยการใหญ่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือระหว่างกัน ครอบคลุมธุรกิจจำนวน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ธุรกิจโทรคมนาคม กฟผ. และ EDL จะร่วมกันพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคมใน สปป ลาว โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของแต่ละฝ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงโครงข่าย Fiber Optic ระหว่างประเทศไทยและ สปป ลาว 2) ธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ซึ่งจะร่วมกันแสวงหาโอกาสพัฒนาธุรกิจการให้บริการงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป ลาว ต่อไป อาทิ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 3 3) เรื่อง Smart Energy Solutions กฟผ. และ EDL จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อร่วมกันพัฒนาระบบ Smart Energy Solutions ในส่วนของสมาร์ทไมโครกริด และแสวงหาพื้นที่ที่มีศักยภาพใน สปป ลาว ที่สามารถพัฒนาต่อยอดระบบดังกล่าวได้ โดยผู้แทนของสองประเทศจะร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ทรัพยากร และข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีกรอบระยะเวลาความร่วมมือเป็นเวลา 3 ปี.-สำนักข่าวไทย