นนทบุรี 25 ม.ค.-อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยรัฐบาลอินเดียเดินหน้าดึงดูดการลงทุนใน 14 สาขาอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง สั่งแต่ละรัฐกระตุ้นการลงทุนจริงจัง ชี้เป็นโอกาสไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลาง ระบุยังมีโอกาสร่วมมือกับสตาร์ทอัปอินเดียในการทำธุรกิจด้วย หลังอินเดียหนุนสตาร์ทอัปเต็มสูบ
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้กรมฯ สำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยในประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับข้อมูลจากนางสาวสุพัตรา แสวงศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ถึงโอกาสการเข้าไปลงทุนในอินเดีย หลังจากที่รัฐบาลอินเดียได้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนใน 14 สาขาอุตสาหกรรมภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง และการลงทุนร่วมกับสตาร์ทอัป เพื่อขยายตลาดในอินเดีย
ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้รายงานรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายใน (DPIIT) ได้ทบทวนและประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจูงใจและอำนวยความสะดวกในการลงทุนใน 14 สาขา เช่น อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลางต่าง ๆในปี 2566 มากขึ้น ภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง โดยเน้นให้แต่ละรัฐในอินเดียเร่งกระตุ้นการลงทุนอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม อินเดียยังได้ใช้สตาร์ทอัปเป็นกลไกหนึ่งในการระดมทุนและขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว และเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัป เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในอินเดีย โดยปัจจุบันอินเดียมีสตาร์ทอัปแล้วประมาณ 84,000 ราย ที่ผ่านการคัดกรองและขึ้นทะเบียนโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายในDPIIT โดยในช่วงปี 2564-2565 มีสตาร์ทอัปได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเงินเริ่มต้นสำหรับสตาร์ทอัป (SISFS) แล้ว มูลค่าประมาณ 2.2 พันล้านบาท และอินเดียยังเร่งพัฒนาระบบนวัตกรรมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมรองรับการเติบโตของสตาร์ทอัป ซึ่งดัชนีนวัตกรรมโลก 2022 (Global Innovation.Index 2022) ประเมินว่าอินเดียได้พัฒนาระบบนิเวศน์เพื่อสตาร์ทอัปให้ดีขึ้นจากอันดับที่ 81 ในปี 2558 เป็นอันดับที่ 40 ในปี 2565 โดยสามารถยกระดับได้ถึง 41 อันดับภายใน 7 ปี ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของอินเดียที่จะปรับตัวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้ในไม่ช้า
“จากนโยบายของรัฐบาลอินเดีย ที่ออกมาเพื่อดึงดูดการลงทุน ทั้งการลงทุนใน 14 สาขา และการร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัป จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนของไทย จะพิจารณาเข้าไปลงทุนในอินเดีย เพราะรัฐบาลอินเดียเปิดกว้าง และถือเป็นช่องทางลัดอีกทางหนึ่ง ในการบุกเจาะขยายตลาดอินเดีย”นายภูสิตกล่าว
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา มีธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยหลายรายเข้าไปลงทุนในอินเดียแล้ว ทั้งกลุ่มสินค้าอาหาร แปรรูป สัตว์น้ำ นม โยเกิร์ตพร้อมดื่ม ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ในครัวและในสำนักงาน ชิ้นส่วนยานยนต์และพลังงานแสงอาทิตย์ และภาคบริการ เช่น ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการทางธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัป รวมทั้งธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งทางเรือและศูนย์กระจายสินค้า แต่ก็ยังมีโอกาสสำหรับสาขาที่ไทยมีศักยภาพอีกหลายสาขา เช่น โรงแรม บริการสุขภาพและความงามบริการก่อสร้างและตกแต่ง ซึ่งสามารถนำสินค้าจากไทยมาใช้และจัดแสดงในกิจการเหล่านี้ได้ด้วย
ดังนั้น ยังมีช่องทางลัดในการขยายธุรกิจไทยในอินเดีย คือ การจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อช่วยบุกเบิกและควบคุมกิจการในอินเดีย โดยเข้าไปถือหุ้นเพื่อควบคุมทิศทางและการบริหาร แต่อาศัยคนท้องถิ่นในการจัดการและดูแลบุคลากร ส่วนธุรกิจบริการ อาจพิจารณาใช้ระบบแฟรนไชส์ เป็นกลไกในการขยายสาขาในอินเดียได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญ ควรจะหาผู้ร่วมลงทุนในอินเดีย โดยสามารถหาได้จากการเข้าร่วมงาน เช่น Global.Investors Summit 2023 ในแต่ละรัฐ โดยรัฐมัธยประเทศ และรัฐอุตตรประเทศ กำหนดจัดเดือนมกราคม 2566 และรัฐอานธรประเทศ เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย